เปลือกหอยกาบ ๒ (อุบัติเหตุ)

คนอง คุ้มประวัติ (ไอ้เหม่ง คนขวา)  

 

         รุ่งเช้ากินข้าวเสร็จแล้วผมกับไอ้เหม่งก็ออกเดินทางทันที พร้อมด้วยจอบ ๒ อัน เสียมเล็ก ๒ อันเอาไว้คุ้ย กระสอบป่าน ๒ ลูก (กระสอบที่ใช้สำหรับใส่ข้าวสาร)เผื่อจะเจอ เปลือกหอย ถ้าไม่เจอก็แล้วไป หมวกนั้นไม่ต้องเอามา เพราะสถานที่ตรงนั้นร่มครึ้มไปด้วยกอไผ่ป่า ไม่ร้อนแดดเลย     ผมถีบรถจักยาน ออกมาก่อนประเดี๋ยวเดียว ก็เห็นไอ้ธร ไอ้โล ไอ้วี ไอ้อู๊ด และเด็กตลาดอีกหลายรุ่น ตามกันมาเป็นพรวน เมื่อพวกมันทันผมกับไอ้เหม่งแล้ว ก็ถีบไปคุยกันไปตลอดทาง โดยมากก็คุยกันเรื่องเปลือกหอยกาบนั่นเอง

  ไม่นานนักก็ถึงที่หมาย ในเช้าวันนี้ผิดกับเมื่อวานนี้ เพราะว่าตรงที่พวกเราจะไปขุดกันนั้น มีคนตั้งหน้าตั้งตาขุดดินเป็นหลุมๆ อยู่หลายคนแล้ว แต่มองดูแล้วก็ยังไม่มีใครได้พบเปลือกหอยกาบแต่อย่างใด เมื่อถึงที่แล้วเอาจักรยานจอดกันเป็นแถว และเตรียมเครื่องมือ จอบเสียมเรียบพวกผมก็ลงมือกันทันที จุดที่เราจะเริ่มขุดกันนั้น อยู่ห่างจากพวกที่กำลังขุดกันอยู่มากเหมือนกัน ผมกระซิบบอกไอ้ธรว่า ให้ขุดกันลึกๆหน่อย เพราะเปลือกหอยเหล่านี้ถูกฝังดินมานานแล้ว และลึกพอสมควร ผมกับไอ้เหม่ง ขุดด้วยกันหลุมหนึ่ง ไอ้ธร ไอ้วี  ไอ้โล ก็อีกหลุมหนึ่ง เด็กตลาดคนอื่นๆนั้นก็รวมกลุ่มกัน ขุดเรียงรายกันไป

อโนทัย ไทยสวัสดิ์ (ไอ้โล คนกลางในภาพ) ในปัจจุบันนี้ ในงานแต่งงานของหลานสาวที่ กทม.(patipat ถ่ายภาพ)

 


    ในขณะที่ผมกับเพื่อนๆกำลังขุดกันนั้น สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเฮ จากผู้ที่มาขุดกันก่อนนั้น  แล้วได้ยินเสียงว่า ได้แล้วโว้ย ได้แล้วโว้ย พร้อมกับมีชายรุ่นหนุ่มคนหนึ่งชูเปลือกหอยกาบขึ้นสูงให้เห็นกันทั่วไป แล้วหัวเราะดังลั่น ผมหันไปมองเห็นเป็นเปลือกหอยกาบ ตัวใหญ่ เลอะดินอยู่จึงมองไม่รู้ว่าเป็นเปลือกที่สมบูรณ์หรือไม่ แตก บิ่น หัก บ้างหรือปล่า เมื่อมีสัญญานว่าต้องมีเปลือกหอยอีกมากมาย ตามที่เขาเล่าลือกัน  ทุกคนจึงได้ออกแรงขุดกันยกใหญ่ เหงื่อตกไปตามๆกัน เพื่ออยากจะได้เป็นเจ้าของเปลือกหอยกาบสักฝาหนึ่งบ้าง

    เวลาผ่านมาอีกไม่นาน พวกที่มาก่อนหน้าเรานั้น ก็ได้พบเปลือกหอยกาบอีกเรื่อยๆ แล้วก็เอาไปใส่กระสอบไว้ ส่วนพวกผมนั้นครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่เห็นวี่แววเลย ขุดแต่ละหลุมลึกๆทั้งนั้น เมื่อขุดลึกจนพอใจและไม่พบเปลือกหอยแล้ว ก็เลื่อนที่ขุดไปเรื่อยๆ จนเกือบจะมาชนกับพวกผู้ที่มาขุดก่อนเราแล้ว เมื่อผมกับไอ้เหม่ง เปลี่ยนหลุมใหม่ ขุดชิดเข้าไปทางริมกอไผ่ ตรงนั้นมองดูแล้วเหมือนดินยุบลงไปเป็นหล่ม คล้ายๆกับจะเป็นหลุมมาก่อน  และผู้ที่มาถมดินตรงนี้เอาไว้คล้ายจะถมไว้ไม่แน่น จึงดูดินยุบไปมากทีเดียว ผมคิดว่าถ้าหมดจากตรงนี้แล้ว จะลองเลื่อนถัดไปจากกอไผ่ กอนั้นสักหน่อย ถัดจากตรงกอไผ่นั้นไป ก็เป็นดงของเสือหมอบ ออกดอกเป็นเกสรเล็กๆสีขาวๆ เส้นๆ เต็มไปหมด เสือหมอบนี้ ผมไม่ชอบกลิ่นมันเสียเลย  มันเหม็นอย่างไรชอบกล 
    ผมบอกไอ้เหม่งว่า พี่ว่าตรงนี้แหละน่าจะมีเปลือกหอยบ้างนะ เรามาช่วยกันหน่อย ผมว่าแล้ว ก็เงื้อจอบฟันลงไปทันที ไอ้เหม่งก็มาช่วยขุดด้วย ไม่นานนักก็เป็นหลุมกว้างและลึกพอสมควร ขนาดผมลงไปนั่งแล้ว มองจากหลุมอื่นไกลๆ มองไม่เห็นหัวผมโผล่ขึ้นมาก็แล้วกัน ผมใช้เสียมอันเล็ก ค่อยๆเสียบแซะลงไป แล้ววักดินขึ้นมา ไอ้เหม่งมันนั่งยองๆมองดูผมอยู่ที่ปากหลุม คอยลุ้นอยู่ว่าจะได้เจออะไรบ้างที่หลุมนี้ ไม่นานนักผมก็รู้สึกได้ว่า เสียมอันเล็กของผมสัมผัสเข้ากับอะไรอย่างหนึ่ง  มันไม่ใช่ลักษณะที่ถูกกับเหล็กหรือไม้เลย

    หรือว่าเราเจอเปลือกหอยกาบเข้าแล้ว ผมขนลุกซู่ คล้ายกับว่า ไปขุดขุมทรัพย์หลายร้อยล้านอย่างนั้น ผมทำท่าทางให้ไอ้เหม่งมันลงมาที่ในหลุมเหมือนกับผม แล้วเอานิ้วชี้ปิดที่ปาก เป็นสัญญาณว่าให้เงียบๆเข้าไว้ อย่าพูดส่งเสียงอะไรออกมา ไอ้เหม่งเห็นผมทำท่าอย่างนั้น ก็รีบกระโดดลงมานั่งข้างๆผม แล้วเอาเสียมอันเล็กอีกอันหนึ่งช่วยผมคุ้ยดินตรงนั้นออก ไม่นานนักดินตรงนั้นหนาประมาณคืบกว่าๆเห็นจะได้ออกหมดแล้ว
    สิ่งที่ผมกับไอ้เหม่ง เห็นไต้ดินตรงนั้น มันเป็นเปลือกหอยกาบครับ เปลือกหอยกาบขนาดใหญ่ ที่เราต้องการหาเอาไปขายให้ป้าฮวยนั้น อัดแน่นเต็มไปหมด และคิดว่าคงอัดกันแน่นไปเป็นชั้นๆ อีกหลายชั้นแน่นอน เปลือกหอยกาบที่ถูกฝังมานี้คงจะเป็นเวลานานมากๆแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผุพังไปตามกาลเวลาด้วยเลย ยังเป็นเหมือนที่มันถูกจับมาใหม่ๆอย่างนั้น ผมรีบบอกให้ไอ้เหม่ง ไปเอากระสอบข้าวสารที่เอามาจากบ้านมาใส่เปลือกหอยเหล่านี้ให้เร็วที่สุด ไอ้เหม่งรีบขึ้นจากหลุม ไปเอากระสอบป่านที่อยู่ที่ตระแกรงท้ายรถมาทันที มาถึงแล้วก็รีบจับเปลือกหอยกาบ ที่วางก่ายซ้อนกันในหลุมนั้นยัดเข้ากระสอบไป กะว่ายัดเข้าไปให้ได้มากที่สุด
         ภายในหลุมนั้นมองดูแล้วมีเปลือกหอยกาบมากที่สุด ยิ่งงัดขึ้นมาก็ยิ่งมองเห็นมากขึ้น ผมช่วยไอ้เหม่งเอาเปลือกหอยกาบ ยัดเข้าไปในกระสอบป่าน จนเต็มทั้งสองกระสอบแล้ว เอาเชือกป่าน ศรนารายณ์ ที่เอามาจากบ้านผูกปากให้แน่นที่สุด เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งมองเปลือกหอยกาบ ที่ยังมีอีกมากมายในหลุมที่ผมกับไอ้เหม่งช่วยขุดกันนี้ นึกเสียดายก็ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะดันเอา กระสอบป่านมาเพียงสองใบเท่านั้น ก็ใครจะไปคิดเล่า ว่ามันจะมีมากขนาดนี้

    ผมปรึกษาไอ้เหม่งว่าจะทำกันอย่างไรดี หรือว่าจะเอาเพียงเท่านี้ เพราะดูเหมือน วาสนาเรามีเพียงเท่านี้ ผมกับไอ้เหม่งมองออกไปจากหลุม เห็นพวกไอ้ธรยังขุดกันอยู่อย่างขะมักเขม้น เวลานั้นมันก็คงจะได้เปลือกหอยกาบบ้างแล้ว แต่จะมากน้อยแค่ไหนนั้นผมมองไม่เห็น แล้วผมก็บอกกับไอ้เหม่งว่า ทำอย่างไรจึงจะขนเอากระสอบสองใบที่บรรจุ เปลือกหอยกาบอยู่เต็มแล้วนี้ ไปบ้านป้าฮวยได้ 
    ลำพังรถจักรยานสองคันที่ผมถีบกันมาคนละคันนั้น เอากระสอบเปลือกหอยกาบนี้ซ้อนท้ายกันไปไม่ไหวแน่ ตะแกรงท้ายต้องหักแน่นอน  เกิดปัญหาขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นคงจะหวงหลุมไว้ไม่ได้แล้ว ผมมองขึ้นไปรอบๆบริเวณนั้น ตอนนี้มีคนทยอยกันเข้ามาขุดเปลือกหอยกาบกันมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว นอกจากคนในพื้นที่แล้ว ก็อาจจะมีคนที่อื่นๆด้วย เพราะข่าวอย่างนี้กระจายไปเร็วเหลือเกิน

  ผมเห็นบางคนก็เอารถสาลี่สำหรับรุนน้ำ มาเลยทีเดียว นั่นผมคาดว่าต้องเป็นคนใกล้ ๆนี้แหละ ลองนับดูคร่าวๆ กว่า ๕๐ คนขึ้นไปแล้ว ผมว่า อีกไม่นาน ก็จะมีคนที่มาก้มๆเงยๆ ขุดดินกันนี้ เป็นร้อยคนทีเดียว สำหรับผมกับไอ้เหม่งนั้น คงได้แค่ ๒ กระสอบเท่านั้น ถ้าเอาไปขายให้ป้าฮวยแล้ว คงกลับมาไม่ทันเป็นแน่ ถ้าจะย้อนกลับมาอีก คงจะเข้าไม่ถึง เพราะมีคนเริ่มทะยอยกันมามากเหลือเกิน
    คิดได้ดังนั้น ผมกับไอ้เหม่งจึงปรึกษากันว่าควรไปเรียกพวกเรา และเด็กเจ็ดเสมียนทั้งหลาย มาเอาที่หลุมที่เราขุดนี้ดีกว่า เพราะว่า มองดูแล้วมันเป็นหลุมสมบัติเลยจริงๆ  เพราะว่าดึงขึ้นมาเท่าไรก็ไม่หมดสักที ยิ่งลึกลงไปก็ดูเหมือนว่าเปลือกหอยกาบจะมากยิ่งขึ้น

ผู้เขียน (นั่งที่ ๒ จากซ้าย) สุรพงษ์ แววทอง (ไอ้โห้ นั่งที่ ๑ จากขวา) ทวี ชื่นณรงค์ (ไอ้วี ยืนที่ ๑ จากขวา) สาธร วงษ์วานิช (ไอ้ธร ยืนที่ ๒ จากซ้าย) เพื่อนเด็กตลาดเจ็ดเสมียนรุ่นเดียวกัน กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ (คุณนายของ พล.ร.ท.ประยงค์ เกสร ถ่ายภาพ ยืนที่ ๑ จากซ้าย)

   ผมให้ไอ้เหม่งไปเรียก ไอ้ธร กับพรรคพวกมาที่หลุมที่เราขุดนี้  พวกไอ้ธรและคนอื่นๆ มันก็เจอหลุมของมันเหมือนกันที่ทำท่าว่าจะมีหอยเยอะ แต่พอเอาออกมาจริงๆ มีไม่กี่กาบ ต้องเปลี่ยนหลุมใหม่เรื่อยไป ไอ้เหม่งบอกมันว่า ให้ไปที่หลุมของมันเถอะ มีเปลือกหอยเยอะ ขุดขึ้นมาเอาใส่กระสอบเท่าไรก็ไม่หมด จึงอยากให้ไปเอาตรงนั้นดีกว่า ไอ้ธร ไอ้โล ไอ้วี และอีกสองสามคน จึงย้ายมาที่หลุมที่ผมนั่งอยู่ในหลุมนั้น แต่ก็มีเด็กตลาดอีกหลายคน ที่มาด้วยกัน ไม่ย้ายหลุมตามมาด้วย เพราะหลุมของเขาก็พบกับเปลือกหอยบ้างเหมือนกัน
   สามคนนั้นที่ย้ายมาที่หลุมที่ผมพบเปลือกหอยนั้น พอมาถึง ก็ตาลุกทันที รีบถามผม เก้วมึงพอแล้วหรือ ผมก็บอกว่า ไม่พอก็ต้องพอโว้ย เสียดายว่ะ เอากระสอบมาแค่สองลูกเท่านั้น แล้วพอตอนที่จะขนกลับนั้นก็เกิดปัญหาอีก  ปัญหาอะไรวะ ไอ้โลถามผม ผมบอกว่า แล้วจะมีปัญญาซ้อนท้ายรถจักรยานไปหรือ แล้วผมก็ส่ายหน้า เหมือนหนักใจจริงๆ

   ไอ้วีว่า ไอ้เก้ว มึงก็โง่ฉิบหาย ทำไมมึงไม่คิดถึง รถสามล้อบ้างวะ พอมันพูดออกมาอย่างนี้ ปัญญาของผมก็กระจ่างขึ้นมาทันที ในเวลานั้นรถสามล้อ ที่รับจ้าง รับคนจากหัวหนอง ไปที่ตลาดในนั้นก็ เริ่มมีหลายคันแล้ว ในตอนนั้นค่าโดยสาร เพียงคนละ ๒ บาทเท่านั้นเอง
  โดยเฉพาะที่บ้านกำนันโกวิท นั้นมีอยู่ สองคัน เป็นของ ไอ้เล็ก (ยงยุทธ วงศ์ยะรา ) ๑ คัน และเป็นของ ไอ้นิด (ยุทธนา วงศ์ยะรา) อีก ๑ คัน  สามล้อทั้งสองคันนี้ สองคนพี่น้อง ก็รับผู้โดยสารระหว่าง หัวหนอง กับตลาดเป็นประจำ ในตอนเย็นๆ ก็ไปออกกำลังเล่นกล้ามกันที่ไต้ถุนบ้านกำนัน กับเฮียตี๋ มันก็เอารถไปจอดไว้ที่บ้านพ่อมัน ทุกเย็น

    เมื่อผมคิดได้ดังนี้แล้ว ก็นับว่าหมดปัญหา เพราะว่าผมสามารถไปยืมรถสองคันนี้ คันใดคันหนึ่งได้เลย เพราะว่าผมกับสองคนนี้เป็นเพื่อนกันที่สนิทกันมาก คิดได้ดังนี้แล้ว ผมก็เลยบอกไอ้เหม่งว่า  ผมจะไปเอารถสามล้อมาบรรทุก เปลือกหอยกาบ ๒ กระสอบนี้ไป ขายให้ป้าฮวยเลยทีเดียว แต่ในเวลานี้ให้ไอ้เหม่งมันเฝ้าเปลือกหอย ๒ กระสอบนี้ไว้ก่อน ผมจะขี่จักรยานย้อนกลับ ไปเอารถสามล้อของไอ้เล็ก จากที่บ้านกำนัน มาบรรทุกเปลือกหอยกลับไป ไอ้เหม่งมึงรออยู่นี่ก่อนก็แล้วกัน แล้วพอเอารถสามล้อมาแล้ว ก็กลับพร้อมกันเลยทีเดียว
ไอ้ธรบอกว่าก็ดีเหมือนกัน ถ้ามึงทำสำเร็จแล้ว บอกไอ้เล็กมันด้วยกูขอเช่าต่อเลยนะ ของกูก็สองกระสอบ ต้องอาศัยรถสามล้อเหมือนกันแหละวะ

    เมื่อรู้เรื่องกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็จูงจักรยานของผมขึ้นไปบนถนน คร่อมแล้วถีบออกรถไปเลย เพราะว่าใจไปอยู่ที่รถสามล้อของไอ้เล็กแล้ว ก่อนออกรถมานั้น ผมสังเกตเห็น คนทยอยกันเข้ามาขุดเปลือกหอยกาบ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะแน่นบริเวณนั้นแล้ว ผมปั่นจักรยานยิกๆ เล่นเอาหอบ อยากจะให้ถึงเร็วๆ  เวลานั้นก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ทีแรกยังคิดเลยว่า คงไม่นานหรอกก็ได้กลับบ้านแล้ว คงจะไม่ถึงเพลดีก็คงเรียบร้อย แต่เวลาล่วงเลยมา เกือบเที่ยงแล้ว งานยังไม่สำเร็จเลย
    เป็นห่วงไอ้เหม่งมันจะหิวข้าว จึงต้องเร่งปั่นจักรยาน ให้ถึงบ้านกำนันให้เร็วที่สุด เลี้ยวรถเข้าบ้านกำนันแล้ว มองเห็นรถสามล้อจอดเคียงกันอยู่ สองคัน ก็ดีใจ คิดว่า เราก็ เป็นคนโชคดีพอสมควร คิดอะไรก็ได้อย่างนั้น ผมลงจากรถจักรยานได้ ก็รีบก้าวอาดๆ เข้าไปที่ไต้ถุนบ้านกำนันโกวิท เห็นไอ้เล็กมันนอนเล่นอยู่บนเก้าอี้หวาย ไกล้ๆกับที่เราเล่นกล้ามกันทุกวัน ที่ไต้ถุนนั้น 

        

บ้านกำนันโกวิท วงศ์ยะรา พ่อของไอ้เล็ก (ยงยุทธ์ วงศ์ยะรา) ที่ผมขอยืมรถสามล้อไปบันทุก เปลือกหอย จากท่ามะขาม บ้านหลังนี้ปลูกมา กว่า ๖๐ ปีแล้ว

 

เปรียบเทียบกับภาพข้างล่างที่ถ่ายเมื่อ วันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ถ่ายจากตำแหน่งเดียวกันกับภาพข้างบนนี้ แต่ระยะเวลาห่างกันประมาณ ๖๐ ปี ภาพล่างนี้ ตัวบ้านและหลังคาดูทรุดโทรมไปตามกาลเวลา กระเบื้องและไม้ ตรงหน้าจั่วนั้น ผุกร่อนลงไปมาก แต่ก็ยังมีลูกหลานอาศัยอยู่  นี่แหละบ้านคนดังในอดีต

  ไอ้เล็กมันเห็นผมเดินตรงมาหามัน มันก็รีบผลุดลุกขึ้นนั่งทันที แล้วถามผมว่า ไอ้เก้วไปไหนมาวะ ดูเหมือนรีบร้อนจังเลยนะมึงนี่  ก็มาหามึงนี่แหละ ผมว่า อยากจะเช่ารถสามล้อมึงสักเที่ยวหนึ่งว่ะ มึงว่างหรือเปล่าวะ เอารถไปบรรทุกเปลือกหอยกาบให้หน่อยซี แล้วผมก็เล่าให้มันฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วมันก็ว่า ตัวกูน่ะไม่ว่างเลยจริงๆ ประเดี๋ยวจะไปธุระสักหน่อย  
   ผมหน้าเสีย เมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไป ไอ้เล็กมันพูดว่า เอาอย่างนี้ มึงก็เอารถกูไปก็ได้ แล้วคนขี่ล่ะ ผมถามมันอีก ไอ้เล็กมันบอกว่า ก็มึงขี่เองก็ได้นี่หว่า เมื่อกูเอารถไปจอดที่หน้าโรงเรียน กูเห็นมึงขี่รถกูเล่น ทุกวัน มึงก็ขี่ได้นี่หว่า  มึงขี่ไปเองเถอะ กูไม่เอาตังค์ หรอก เอาไปเลย เสร็จธุระของมึงแล้ว ก็ค่อยเอามาคืนกูที่นี่แหละ

   เอาอย่างนี้ก็ได้ ผมก็ขี่รถสามล้อนี่พอเป็นแล้วแหละ ขี่ของมันแทบทุกวันที่มันเอาไปจอดที่สนามหน้าโรงเรียนในตอนเย็นๆ ผมก็ขี่พอใช้ได้อยู่ มันจะไปยากอะไร  เมื่อตกลงตามนั้นแล้ว ผมก็จูงรถจักรยานของผม จอดให้เข้าที่เข้าทางไต้ถุนบ้านกำนันนั้น แล้วจูงรถสามล้อของไอ้เล็ก ที่ผมเคยขี่เล่นทุกวัน เหยียบบันได แล้วตวัดขาขึ้นคร่อม ออกแรงถีบที่บันไดของมัน รถเริ่มเคลื่อนที่ ทีแรกก็หนักหน่อย พอออกจากหน้าบ้านกำนัน ขึ้นสู่ถนนแล้วรถก็เบาขึ้นขี่ไปได้อย่างสบาย ผมดีดกระดิ่งรถสามล้อคันนี้เล่นไปตลอดทางเมื่อเจอคนรู้จักกัน ขี่รถจักรยานสวนทางมาแล้วก็ยิ้มให้เหมือนกับว่า ให้ดูผมซี่ผมถีบรถสามล้อก็เป็นนะ โก้ใหมล่ะ...!

   สักพักใหญ่ๆผมก็มาถึงทางเข้าวัดท่ามะขาม ขี่สามล้อเข้าไปอีกสักประเดี๋ยวก็เห็นหมู่คนกลุ่มใหญ่ กำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดดินหาเปลือกหอยกาบกันใหญ่ คงจะเป็นจริงอย่างที่ลุงคนนั้นบอก ขุดให้ลึกๆหน่อยก็เป็นเจอเปลือกหอยกาบทั่วไปหมด ทุกคนที่มาขุดนั้นจึงได้กันคนละมากๆ ถ้วนทั่วทุกตัวคน ได้ยินเสียงพูดคุยกัน เฮกันตลอดเวลาที่พบเปลือกหอยกาบ
   เมื่อมาถึงแล้ว ผมรีบจอดรถสามล้อ ไอ้เหม่งเห็นผมแล้วมันก็ทำท่าดีใจ ไม่น้อยกว่าผม ที่เห็นผมเอารถสามล้อมาได้   ไอ้ธร และคนอื่นๆ ก็ได้เปลือกหอยทุกคน แล้วแต่ว่าใครจะเอากระสอบมาใส่มากน้อยแค่ไหน ก็ได้เท่านั้น แต่ไอ้การที่จะย้อนกลับมาเอาอีกนั้น ผมก็คิดว่าหมดสิทธิแล้ว  ถ้าเราจะเอาตรงนี้อีกต่อไป เราก็ต้องมีคนเฝ้าตลอดคืนนี้อีกด้วย คงไม่มีใครยอมมาเฝ้าแน่ๆเลย จึงต้องตัดใจแล้วละ ได้แค่นี้ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย

   ผมถามไอ้ธรว่า แล้วมึงจะเอากลับอย่างไรวะ  ไอ้ธรบอกว่า มันก็สั่งเด็กให้ถีบจักรยานไปตามรถสามล้อมาแล้ว อีก ๒ – ๓ คัน คงจะมากันได้หรอก เพราะว่าเราก็ให้ค่าจ้างเขา (รถสามล้อในเจ็ดเสมียนที่วิ่งรับคนในตอนนั้น จำได้ว่ามีประมาณ ๗ หรือ ๘ คัน จำนวนนี้รวม สองคันของไอ้เล็กและไอ้นิดด้วย ) ไอ้ธรบอกอีกว่า เมื่อสามล้อมันมาแล้ว ก็จะบรรทุกคันละ ๒ กระสอบ เสร็จแล้ว เราก็จะถีบจักรยานตามมันไป แล้วจะไปลงที่บ้าน ป้าฮวยเลย ขายเสร็จแล้ว ก็จ่ายค่ารถสามล้อมันตรงนั้นเลย ก็ดีเหมือนกัน

   ส่วนผมกับไอ้เหม่งนั้นคิดว่า จะไปก่อนมันดีกว่าไม่รอมันแล้ว เพราะรถของเรามาแล้วและพร้อมแล้วที่เอาของขึ้น เปลือกหอยสองกระสอบนี้ อย่างน้อยก็คงจะได้สัก  ๒๐๐ บาท ให้ไอ้เล็กมัน สักสิบบาทเป็นค่ารถของมัน ที่เหลือก็แบ่งให้ไอ้เหม่งมันคนละเท่าๆกัน เพราะว่าปฏิบัติการณ์กันแต่ละครั้งนั้น  ผมไม่เอาเปรียบใคร ต้องเท่าๆกันเสมอ

   ผมเอารถสามล้อมาจอดที่บนถนน กะให้ตำแหน่งที่จะเอากระสอบขึ้นใกล้ที่สุด แล้ว ผมกับไอ้เหม่งก็ช่วยกัน กลิ้งกระสอบป่านนั้น ไปที่ริมถนน ที่รถสามล้อจอดอยู่ ตอนกลิ้งไปก็ลำบากพอดูเหมือนกัน เพราะต้องหลบหลุมที่เขาขุดหาหอยกันเอาไว้ บางทีก็พลาดไปชนมูลดินที่เขาขุดขึ้นมาแล้ว กลับพังลงไปอีก ไอ้เจ้าของหลุมมันมองตาเขียว ผมก็ต้องอ่อนเข้าไว้ ขอโทษเขาตะพืดไปหมด จนในที่สุดก็เอาขึ้นรถจนได้
    เหนื่อยแทบตาย แต่ในเมื่อทำมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ เผื่อจะได้มีสตางค์ไปเที่ยวที่ตลาดในตัวจังหวัดบ้าง เมื่อเอากระสอบที่อัดแน่น ไปด้วยเปลือกหอยกาบขึ้นรถสามล้อได้แล้ว  ผมก็ก้าวขึ้นคร่อมอานทันที  ไอ้เหม่งไปทางด้านหลังแล้วผลักนำให้รถสามล้อมันเริ่มออกวิ่ง ผมคิดไม่ถึงอีกแล้ว สามล้อบรรทุกของ กับสามล้อเปล่าๆ ที่ผมเคยซ้อมถีบเล่นที่หน้าโรงเรียนนั้น มันไม่เหมือนกัน มันผิดกันไกล ยิ่งบรรทุกเปลือกหอย สองกระสอบ หนักตั้ง ๑๐๐ กว่ากิโลนั้น มันทั้งหนัก แฮนด์ก็แข็งมาก อืดมาก ถีบไม่อยากจะออกเลย ต้องเกร็งขาถีบมัน ออกแรงเสียหน้าแดงก่ำ มันจึงค่อยๆคลานไป ผมอยากจะให้ไอ้เหม่งมันมาช่วยเข็นจริงๆ แต่ไอ้เหม่งมันก็ขี่จักรยานของมันอยู่ มันจะจอดจักรยานแล้วมาเข็นให้ก็ไม่ได้ ผมจึงต้องถีบบันไดมันเสียหน้าแดงทีเดียว เพื่อให้มันเคลื่อนที่

   อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญกว่ารถหนัก ก็คือ มันบรรทุกของหนักๆอย่างนี้ มันขืนน่าดูเลย ผมต้องออกแรงขืนหน้ามันให้มัน วิ่งไปตรงทางที่เราต้องการ  ถ้าตอนไหน ทางมันเอียงๆ รถสามล้อที่หนักๆอย่างนี้มันก็จะวิ่งลงไปที่ทางเอียงๆ นั้น ผมพยายามเหลือเกินทีจะขืนมันไว้ แต่มันก็หนักจริงๆพับผ่าซี รถวิ่งไปเรื่อยๆ เข้ามาจากหนองบางงู มาได้เกือบครึ่งทางแล้ว แถวๆหน้าบ้านครูตลับนั่นแหละ พอเลยบ้านครูตลับมาได้หน่อยหนึ่ง ทางด้านซ้ายมือ เป็นทางลาดอียงลงไป
     มีรถยนต์ดอจ์ด ลักษณะเป็นรถบรรทุกคันหนึ่ง คงวิ่งไปส่งของที่ในตลาดเสร็จแล้ว วิ่งออกมาสวนกับผมตรงเยื้องๆกับหน้าบ้านครูตลับพอดี  ผมบอกแล้วไงถนนทางด้านซ้าย มือของผมลาดเอียงลงไปพอสมควร เมื่อรถยนต์ดอจ์ดคันนั้นหลีกผมไปแล้ว ผมก็มาถึงตรงที่ลาดเอียงนั้นพอดี ทำให้รถสามล้อของผมที่หนักอึ้งนั้น ล้อข้างซ้ายตะแคงไปตามทางที่ลาดเอียง ทำให้แฮนด์  (มือจับบังคับเลี้ยว)  ของรถทำท่าจะหักไปทางซ้ายด้วย

        

รถบันทุกที่เห็นในภาพนั้น แบบนี้แหละที่เรียกว่ารถ     "ดอร์ดสหะ"

   ผมพยายามขืนแฮนด์มันขึ้นกลับมาจนสุดฤทธิ์ รถก็ยังทำท่าจะไหล ลงไปทางซ้ายตามนั้น ผมพยายามขืนอย่างหนัก แต่ขืนเท่าไรก็ขืนไม่ขึ้นเสียแล้ว ล้อหน้า บิดไปตามทางที่ลาดนั้น ทำให้รถวิ่งพรวดลงไปข้างทางทันที  ไอ้เหม่ง ร้องเฮ้ย เฮ้ย อะไรกันวะ  พี่เก้วทำไมมันเป็นอย่างนั้นล่ะ มันทิ้งรถโครม กระโดดเข้ายื้อ ดึงรถสามล้อด้านท้ายเอาไว้  ผมเหยียบเบรกเต็มแรงล้อหยุดหมุนทันที  แต่อย่างไรก็เอามันไม่อยู่เสียแล้ว ล้อมันหยุดหมุนก็จริง แต่ตัวรถก็ยังไถลพรืดลงไปเรื่อยๆ เดชะบุญ ถนนช่วงนั้น จากไหล่ทางลงไปมันไม่ลึกมากนัก แต่ความหนักของรถ ทำให้มันมีแรงส่งวิ่งพรวดลงไปข้างทางอย่างรวดเร็ว 
    ผมซึ่งอยู่บนอานรถนั้น อยากจะกระโดดออกจากรถ แต่เหตุการณ์มันพริบตาเดียว จะกระโดดก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงต้องติดรถไปกับมันด้วย รถมันก็ตะลุยลงไปผ่านกอหญ้าคา ที่ขึ้นอยู่ริมถนนนั้นก่อน แล้วก็เลยไปเหยียบต้นดอกลำโพงกระจาย ล้มระเนระนาด ดอกลำโพงปลิวว่อน เหม็นหึ่ง  พ้นต้นดอกลำโพงไปแล้ว รถก็ยังไม่หมดแรงวิ่ง พ้นจากต้นดอกลำโพงไป ก็เป็นดงของ หนามพงดอ กลุ่มเบ้อเร่อ เคยเห็นไหมครับต้นหนามพงดอ ที่มีหนามแหลมๆ ถ้ามันปักแล้ว ปลายหนามที่ดำๆ มักจะหักติดกับเนื้อเราเลย แล้วก็ปวดน่าดู บ่งก็ไม่ค่อยอยากจะออก นี่แหละหนามพงดอละ


   ผมมองเห็นต้นหนามพงดอ ดงใหญ่อยู่ข้างหน้า ผมตกใจสุดขีด อยากจะกระโดดออกจากอานรถคันนี้ แต่อะไรๆ มันก็ไม่ทันแล้ว เหตุการณ์มันเกิดเร็วมาก พริบตาเดียว ผมได้ยินเสียดังโครม  ล้อหน้าของสามล้อคันนี้ไปสะดุดหินก้อนใหญ่ ซึ่งอยู่ริมกอหนามพงดอนั่นเอง กระสอบเปลือกหอยกาบ ๒ กระสอบ หลุดกระเด็น ออกไปอยู่ในหนามพงดอ ล้อหน้าบิดเป็นเลข 8 ทันที ตะเกียบคู่หน้าสองข้างนั้น งอบิดเบี้ยวดูไม่จืด เพราะว่ามันกระทบกับหินก้อนใหญ่อย่างจัง  ล้อหลังสองล้อนั้น กระดกลอยขึ้น แล้วตกลงมา อยู่อย่างเก่า โดยไม่ได้ตีลังกาหงายท้องไปด้วย  
    ในขณะที่ท้ายรถกระดกขึ้นไปแล้วตกลงมาที่เก่าดังปึงนั้น ตัวของผมก็กระดอนหลุดจากอานรถ ตกลงไปที่กระบะท้ายตรงเบาะคนนั่ง เสียงดังโครม  เดชะบุญของผมที่ไม่ได้ตกลงไปในดงหนามพงดอด้วย ถึงอย่างไรผมก็ไม่ยอมตกลงไปในดง หนามพงดอ แน่ ถ้าตกลงไปแล้ว ตัวของผมก็คงจะพรุนไปด้วยหนามของมัน ปลายของหนามพงดอที่เป็นสีดำๆถ้ามันได้ทิ่มเข้าไปแล้ว มันก็จะหักคา บ่งมันออกปีหนึ่งก็ไม่หมด

    เมื่อผมตกจากอานรถลงไปที่เบาะท้ายแล้ว มันก็สงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ผมค่อยๆลุกออกจากกระบะท้ายรถ สามล้อคันนั้นอย่างยากเย็น แขนขาขัดยอกไปหมด ตอนกระเด็นตกลงมาที่กระบะรถนั้น หงายหลังลงอย่างไม่เป็นท่า กระดูกสันหลังแทบหัก เจ็บกระดูกก้นกบไปอีกเป็นเดือน  ล้อหน้าของรถนั้นบิดเบี้ยวเป็นเลข 8 เกยอยู่บนหินใหญ่ก้อนนั้นพอดี
     ไอ้เหม่งวิ่งเข้ามาหาผม แล้วถามผมด้วยความห่วงใยว่า เป็นอะไรหรือเปล่า  ผมบอกว่าไม่เป็นอะไร แค่ถลอก และเจ็บเอว เจ็บตรงก้นกบ นิดหน่อยเท่านั้น ผมปล่อยรถสามล้อคันนั้นให้อยู่ในสภาพอย่างนั้นไปก่อน เพราะไม่มีแรงไปกู้มันหรอกในตอนนี้ ส่วนกระสอบเปลือกหอยกาบสองกระสอบนั้น มันก็กลิ้งเข้าไปในดงหนาม ไม่ลึกมากนัก หาไม้ตะขอมาเกี่ยวเอาก็คงไม่ยากเย็นเท่าไรนัก

   ผมกับไอ้เหม่งสองคน พากันไปนั่งที่โคนต้นหว้าใหญ่ริมถนน เผื่อพวกไอ้ธรมันกลับมาผ่านเรา จะได้เห็นเรา แล้วมันก็คงรีบลงมาช่วยเหลือ อย่างแน่นอน แล้วก็คุยกับไอ้เหม่งด้วยความวิตกกังวล เรื่องรถสามล้อคันนี้ของไอ้เล็กมัน จะเอาอย่างไรดี ทั้งตะเกียบคู่หน้า ทั้งล้อ และซี่ลวดชุบโครเมี่ยม บิดเบี้ยวหมด แล้วไม่รู้ว่าไอ้เล็กมันจะโกรธขนาดไหน ถ้ามันมาเห็นรถของมันพังขนาดนี้  ไม่เป็นไรหรอกน่า ใจดีสู้เสือเข้าไว้  ไอ้เหม่งมันออกปากปลอบใจผมอย่างนี้
    ตอนนั้นบ่ายมากแล้ว ขบวนรถของไอ้ธร มันกำลังจะมาถึงพอดี เสียงคุยกันเอะอะดังลั่น ได้ยินล่วงหน้ามาแต่ไกล ต่างคนต่างคุยโม้ทับกัน ในเรื่องการขุดหาเปลือกหอยในวันนี้ พอพวกมันจะผ่านผมกับไอ้เหม่งไป พวกมันก็เหลือบเห็นผมกับไอ้เหม่งนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ข้างทาง เสียงคุยโม้กันนั้นหยุดกึกในทันที ที่เห็นผมและไอ้เหม่ง เสียงพวกมันหัวเราะกันใหญ่เข้ามาแทนที่ เหมือนว่าเป็นของขำเสียเต็มประดา แล้วก็พากันจอดรถลงมาดูเหตุการณ์ แล้วก็ซักไซ้ไล่เรียงผมว่า เพราะเหตุใดรถมันจึงลงจากถนนไปคาอยู่ที่ดงหนามพงดออย่างนี้  ผมก็บอกพวกมันไปตามความจริง เมื่อเห็นว่าผมไม่เป็นอะไรแน่แล้ว ไอ้ธรมันก็บอกว่า จะไปบอกไอ้เล็ก ให้มาเอารถของมันไปซ่อม มึงไม่ต้องห่วง

 

         และมึงก็ไม่ต้องตกใจและคิดมากไปหรอก เงินค่าซ่อมมึงก็มีอยู่แล้ว เปลือกหอยกาบในกระสอบนั่นยังไงล่ะ...!

 


   เจ๊ติ๋ว ลูกสาวคนโตของป้าฮวย (แม่กิมฮวย) พี่สาวของนายสุรพงษ์ แววทอง (ไอ้โห้) ใส่เสื้อสีขาวในปัจจุบันนี้  กำลังคุยอยู่กับเจ๊กวย (แม่ตังกวย)เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๒ ที่ศาลาเอนกประสงค์   ริมน้ำในตลาดเจ็ดเสมียน (patipat ถ่ายภาพ)   

          บทสรุปเบื้องหลัง การเล่าเรื่องนี้.............. ในเรื่องการไปหาเปลือกหอยกาบมาขายให้กับ ป้าฮวย นั้น เป็นเรื่องที่ผมผู้เขียนคิดว่า เล่าได้ใกล้เคียงกับความจริงที่ได้เกิดขึ้นที่สุด เพราะว่าแหล่งข้อมูลนั้น คือ ไอ้โห้ (คุณสุรพงษ์ แววทอง) ลูกป้าฮวยที่ผมกล่าวถึงนั่นเอง ก่อนที่ผมจะเขียนนั้น ผมนึกถึงราคาที่ป้าฮวยแกซื้อเปลือกหอยจากชาวบ้านว่า กิโลละเท่าไร ผมก็นึกไม่ออกเพราะว่าเวลามันผ่านมาอย่างน้อย ๕๐ ปีแล้ว ผมติดอยู่ตรงนี้เท่านั้นเองถ้าจะไปถามคนเก่าๆที่เจ็ดเสมียน ที่เคยไปขายเปลือกหอยกาบกับป้าฮวยนั้น ก็ไม่ทราบว่าเป็นใครบ้าง จะไปถามป้าฮวยๆแกก็เสียไปตั้งนานแล้ว
         ดังนั้นผมจึงคิดว่าจะติดต่อถามใครที่รู้เรื่องนี้ดี นึกได้ว่าเรื่องนี้ต้องถามเจ๊ติ๋วลูกสาวคนโตของป้าฮวยที่เป็นผู้สืบทอดกิจการ "หัวใช้โป๊ว แม่กิมฮวย เชลล์ชวนชิม"  ดีกว่า คงได้รู้เรื่องแน่ๆ แต่ก็ไม่ทราบเบอร์โทรศัพท์อีก เพราะว่าไม่ค่อยได้ติดต่อกันในระยะหลังๆนี้ เกือบจะหมดปัญญาแล้ว พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีไอ้โห้น้องของเจ๊ติ๋ว ลูกป้าฮวยอีกคนหนึ่งที่คาดว่าพอจะรู้เรื่องนี้ดี เพราะว่ามันเป็นเด็กเจ็ดเสมียนรุ่นเดียวกับผม และเป็นเพื่อนสนิทกันด้วยเมื่อตอนเด็กๆ ผมก็ต่อโทรศัพท์ไปหามันที่ราชบุรี ทันที
         โชคดีที่ไอ้โห้มันรับด้วยตัวเอง หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกัน เพราะไม่ได้เจอกันเป็นเวลานานแล้ว แล้วผมก็เข้าเรื่องทันที อันดับแรกผมถามมันก่อนว่า รู้เรื่องที่แม่มึงรับซื้อเปลือกหอยกาบหรือเปล่า ไอ้โห้บอกว่า “กูนี่แหละเป็นคนช่วยแม่กูชั่งเลยทีเดียว เกี่ยวกับเรื่องนี้นอกจากแม่กูแล้ว ไม่มีใครรู้ดีเท่ากูหรอกโว้ยถึงเจ๊ติ๋วก็เถอะ” มันว่า แล้วมันก็คุยเกี่ยวกับเรื่องนี้สารพัด ดังที่ผมได้เขียนลงไปในเรื่องที่ท่านได้อ่านผ่านมาแล้ว
        แต่ก็มีบางเรื่องที่ผมลืมไปไม่ได้เขียนลงไปด้วยก็มี เช่น มีคนที่มาติดต่อป้าฮวยให้รับซื้อเปลือกหอยไว้ อย่างไม่อั้นนั้น ไอ้โห้บอกว่า ในตอนแรกๆมันก็มารับอย่างสม่ำเสมอ อาทิตย์สองอาทิตย์มาครั้ง ก็บรรทุกเปลือกหอยไปด้วยรถกะบะ “ดอจ์ดสหะ” (ย่อมาจากรถดอจ์ด ของสหประชาชาติ ที่ปลดระวางจากสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว มาขายให้เอกชนซื้อไปทำรถบรรทุก)
 ทำกำไรให้แม่มันอย่างมาก

         แต่ในตอนหลังๆรถที่มารับเอาเปลือกหอยไปนั้น ไม่ค่อยได้มาเลย แต่แม่ไอ้โห้ก็ยังรับซื้อเปลือกหอยกาบอย่างไม่อั้นเหมือนเดิม เพราะคิดว่าอย่างไรเสียพวกกรุงเทพฯ คงจะมารับไปหมดแน่ๆเพราะได้พูดกันไว้แล้ว เปลือกหอยกาบก็รับซื้อเรื่อยๆ จนในห้องที่บ้านป้าฮวยที่จัดไว้เพื่อกองเปลือกหอยกาบโดยเฉพาะนั้น เต็มหมดจนไม่มีที่กองแล้ว จึงได้ล้นออกมากองนอกบ้านเป็นกองพะเนิน
         ไอ้โห้บอกว่า คราวนั้นแม่มันรับซื้อเปลือกหอยกาบรวมแล้ว ที่ยังไม่ได้ขึ้นรถไปกรุงเทพฯ กว่า ๑๕ ตัน หอยกาบเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็มาจาก บ่อเปลือกหอยที่ท่ามะขาม ที่พวกผมไปขุดกันมาเป็นรุ่นแรกๆทั้งนั้น ที่ตรงนั้นผมว่าจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ ในไต้ดินนั้นคิดว่าก็จะยังมีเปลือกหอยอยู่อีก เพราะไอ้โห้มันให้ข้อมูลผมว่าที่ท่ามะขามเป็นบริเวณกว้างนั้น แต่เดิมหลายล้านปีมาแล้ว เขาสันนิฐานกันว่า เป็นที่น้ำทะลท่วมไปหมดจึงมีเปลือกหอยมาสะสมอยู่ตรงนั้นมากมายจนถึงปัจจุบันนี้  (ข้อมูลนี้มาจากไอ้โห้ที่คุยกับผมในวันนั้นนะครับ)
          สุดท้ายแล้วคนที่กรุงเทพฯก็ไม่ได้มารับเปลือกหอย ที่บ้านไอ้โห้อีกเลย แม่ไอ้โห้รอนานมากก็ไม่เห็นมาสักที เปลือกหอยก็เกะกะบ้านพยายามติดต่อหลายครั้ง โดยทางโทรเลขด่วนก็เอา จะไปตามหาบริษัทของมันที่กรุงเทพฯก็ไปไม่ถูก เพราะว่ามันไม่เคยพาไป มีแต่มันมาหาเอง ในตอนสุดท้ายเมื่อเห็นว่าคนรับซื้อจากกรุงเทพฯนั้นเบี้ยวแน่แล้ว ป้าอวยแกจึงตัดสินใจจ้างรถบรรทุกจากโรงกระดานแห่งหนึ่ง จ้างคนขนขึ้นแล้วไปโกยทิ้งที่ริมแม่น้ำตรงโคนต้นสารภีใหญ่ ใกล้ๆกับตลาดนั่นเองเป็นกองพะเนิน บังเอิญมีรูปถ่ายอยู่ใบหนึ่ง ที่เด็กตลาดเจ็ดเสมียนกลุ่มใหญ่ไปยืนกันตรงนั้น
 ตรงที่แม่ไอ้โห้เอาเปลือกหอยกาบไปกองทิ้ง

ภาพนี้รวมกลุ่มเด็กเจ็ดเสมียนส่วนหนึ่ง สถานที่ยืนกันอยู่นี้คือริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ตรงจุดที่ไกล้ ที่สุดของกองเปลือกหอยกาบ ที่ป้าฮวยแม่ไอ้โห้ ให้คนขนมากองไว้ตรงโคนต้นสารภี (มองเห็นกิ่งเล็กน้อยด้านบนขวามือของภาพ)

 

        บางวันในตอนเย็นๆผมกับไอ้ธร ไอ้โล ไอ้ทวี และเพื่อนๆอีกหลายคน เดินไปตรงกองเปลือกหอยกาบนั้น แล้วเอาเปลือกหอยกาบร่อนลงไปในแม่น้ำให้เปลือกหอยกาบ มันแฉลบขึ้นลงไปบนผิวน้ำไปไกลๆ ดูสวยงามยิ่งนัก ในเรื่องนี้ผมถามคนหลายคนแล้ว แม้แต่ ไอ้โห้เอง ว่าเปลือกหอยกาบที่เขามากว้านซื้อนั้นไปทำอะไร ไอ้โห้มันบอกว่าไม่รู้มันซี เห็นไม๊แม้แต่ไอ้โห้เอง มันก็ยังไม่รู้เลย ....!
 

นายแก้ว เขียนเปลือกหอยกาบ ๒                                                                                        

 โปรดติดตามเรื่องต่อไป   "เฮียแก่เล็กและงานหาดทราย ตอนที่ ๑"    เร็วๆนี้ ที่นี่ที่เดียว

 

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้299
เมื่อวานนี้303
สัปดาห์นี้1689
เดือนนี้10936
ทั้งหมด1340820

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

2
Online