กำนันโกวิท2 (ขโมยมะม่วงวัด)

     

   ภาพของท่านกำนันโกวิทหายากครับ จึงขอนำเอาภาพของลูกสาวคนเล็กของท่านคือคุณกรรณิกา วงศ์ยะรา ปัจจุบันเป็นผู้ใหญ่บ้านหญิงของหมู่ที่ ๒ ตำบลเจ็ดเสมียน มาลงแทนครับ

    กำนันโกวิท วงศ์ยะรา เป็นผู้มีบารมีกว้างขวางเหนือกว่าผู้ใดในตำบลเจ็ดเสมียนนี้ ท่านเป็นกำนันนักปกครองและนักพัฒนาตัวจริงซึ่งจริงจังในเรื่องนี้มาก ท่านมีจิตวิทยาในการโน้มน้าวใจคน ในเรื่องการพัฒนาตำบลที่ต้องใช้แรงคนมากๆ

  เช่นการทำถนน ลอกคลอง ปลูกต้นไม้และอื่นๆ เพียงแต่กำนันโกวิทเรียกประชุมลูกบ้าน เพื่อมาหารือจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพียงกำนันเอ่ยปากเชิญชวนให้ร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ของตำบลของเรา ลูกบ้านทั้งหลายที่มีเวลา มีแรง มีเงินที่จะช่วยได้ก็จะรีบกุลีกุจอมาช่วยกันทันที

 ตัวท่านกำนันเองก็ทำอะไรทำจริง - จริงจังหนักแน่นทำให้ลูกบ้านในตำบลเจ็ดเสมียนนี้ อยู่กันอย่างมีความสุข ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะมีโจรผู้ร้าย มาขโมยมาปล้นเลย นักเลงใหญ่ที่ว่าใหญ่มาจากไหน  รวมทั้งพวกเกกมะเหรกเกเร ยึดอาชีพเป็นนักเลงหัวไม้รีดไถชาวบ้านกิน พวกทั้งหลายเหล่านี้ถ้าได้เจอหรือเอาแค่ได้ยินชื่อกำนันโกวิทละก้อ ขี้หดตดหายต้องรีบหนีไปให้ห่างไกลไม่มากล้ำกรายอีกเลย

 ครั้งหนึ่งผมกับเพื่อนๆเด็กตลาดอีกหลายคน เห็นที่หลังสถานีรถไฟมีคนยืนมุงดูอะไรกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ ความอยากรู้อยากเห็นจึงชวนกันวิ่งตื๋อไปที่กลุ่มคนพวกนั้น พอไปถึงก็แหวกผู้ใหญ่ที่ยืนดูอยู่ก่อนแล้วเข้าไป จึงเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งถูกมัดมือไขว้หลังนั่งยองๆอยู่ ได้ทราบจากคนที่อยู่ไกล้กันนั้นบอกว่า กำนันกับพวกตามจับผู้ร้าย ที่ไปขโมยของในตลาดเจ็ดเสมียนได้ เป็นคนทางเลยวัดบ้านซ่องไปอีกซึ่งผมไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน

 เมื่อกำนันโกวิท ได้รับแจ้งจากลูกบ้านซึ่งเป็นร้านค้าร้านหนึ่งอยู่ในตลาด จึงพร้อมกับหมอเลื่อนเลขาคนสนิท พร้อมด้วยผู้ใหญ่เสงี่ยม สกุลนา และพรรคพวกอีกสองสามคน รีบไปตามจับนักงัดแงะรายนี้ได้ที่กระท่อมหลังหนึ่งแถวๆ คลองตาเฉย ที่เลยวัดใหม่ชำนาญไปหน่อยหนึ่ง กำนันแกจึงคุมตัวมาที่หลังสถานีรถไฟ ผมและทุกคนที่มุงดูอยู่นั้นเห็นกับตาเลยว่า กำนันแกถามอะไรขโมยคนนั้นตอบไม่ดีคือตอบกวนๆ แกอดไม่ไหวจึงเงื้อมือซ้ายตบเข้าไปที่กกหู ครั้งเดียวเท่านั้น ล้มลงไปชักดิ้นทันตาเห็น มือท่านกำนันนั้นหนักจริงๆผมไม่โกหกหรอก ถามไอ้ธรดูก็ได้

    ผมเองพร้อมด้วยเพื่อนๆรุ่นเดียวกันก็หวาดเสียวเฉียดๆ จะโดนกำนันโกวิทจับได้เหมือนกัน เมื่อสมัยนั้นที่หลังโรงเรียนด้านนอกติดกับถนนทางเข้าโรงสี ทางวัดได้ปลูกมะม่วงไว้หลายต้น เปรี้ยวบ้าง มันบ้าง ในกลุ่มนั้นมีอยู่ต้นหนึ่งเป็นมะม่วงมันชื่อว่า มะม่วงทองดำ ลูกดกมากพอแก่จัดแล้วมันจะมีรสอร่อยที่สุด ในสมัยนั้นยังไม่มีเขียวเสวยหรือพันธ์อะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในภายหลังสักอย่างเลย

   หน้านั้นปลายเดือนมีนาคมลมร้อนกำลังพัดผ่านเพราะใกล้สงกรานต์เต็มที มะม่วงก็กำลังแก่เต็มที่เช่นเดียวกัน มะม่วงที่วัดนี้มีคนมาขโมยไปกินบ่อยๆ  ละมุดก็เหมือนกันละมุดที่หลวงตาหุ่น (เจ้าอาวาสวัด) ใช้ให้คนที่วัดปลูกไว้ริมแม่น้ำข้างโรงสีก็หลายต้น โดนคนขโมยเก็บเอาไปกินบ่อยๆ ทำให้กำนันโกวิทแกจ้องจะจับคนขโมยมะม่วงวัด และผลไม้ของวัดให้ได้คาหนังคาเขาสักที แต่มะม่วงวัดก็ยังโดนโขมยอยู่เรื่อยๆ เหมือนกับเป็นการลองดีกำนันคนดังอย่างนั้นแหละ

   พวกกลุ่มเด็กตลาดหลายๆคนรวมทั้งผมด้วย ในตอนเย็นๆชอบมาชุมนุมกันที่เสาธงหน้าโรงเรียนเสมอๆ จึงได้เห็นว่ามะม่วงทองดำต้นนี้มันดกมาก และคิดว่ารสชาติคงอร่อยดีเป็นแน่ พวกผมจึงได้ประชุมกันและลงมติว่า ค่ำวันนี้เราจะมาขึ้นมะม่วงทองดำนี้เอาไปแบ่งกินกันคนละลูกสองลูก และที่สำคัญต้องเก็บเป็นความลับสุดยอดอย่าให้เฮียตี๋แกรู้เป็นอันขาด  (เฮียตี๋ เป็นใคร ท่านผู้อ่านติดตามไปอ่านในตอน ”ชีพ  ชูชัย แห่งตำบลเจ็ดเสมียน 1”  แล้วจะรู้เองในตอนนี้ ผมขอผ่านไปก่อน) คงจะดีเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นเวลาตอนพลบค่ำ ที่สนามหน้าโรงเรียนคนที่มาพักผ่อน และมาออกกำลังกายซากันไปหมดแล้ว ยังเหลือพวกผมอีกสี่ห้าคนเท่านั้นที่ทำเป็นอ้อยอิ่งถ่วงเวลาให้มืดๆอีกสักหน่อย ในวันนั้นผมจำได้ว่ามี สาธร วงษ์วานิช, โอฬาร ลักษิตานนท์, อโณทัย ไทยสวัสดิ์ แล้วก็ สุรพงษ์ แววทอง อีกคนหนึ่ง

  พอได้เวลาแล้วหันหน้ามองซ้ายมองขวา คิดว่าไม่มีใครเห็นแน่แล้ว จึงเริ่มต้นให้สัญญาณปฏิบัติภาระกิจนี้ทันที ไอ้อู๊ด (โอฬาร ลักษิตานนท์) กับไอ้โห้ (สุรพงษ์  แววทอง) นี่แหละที่รับอาสาเป็นคนขึ้น มันคงคิดว่าคนขึ้นต้องได้รับส่วนแบ่ง มากกว่าคนที่คอยเก็บอยู่ข้างล่าง  เมื่อพวกมันขึ้นต้นมะม่วงนี้ไปได้สักประเดี๋ยวได้ยินเสียง ตุบ ตุบไอ้คนขึ้นไปบนต้นมันปลิดลูกมะม่วงโยนลงมานั่นเอง ผมและเพื่อนที่อยู่โคนต้นต่างก็สาละวน ไล่ตะครุบลูกมะม่วงกันใหญ่และกระหยิ่มใจว่าวันนี้อร่อยแน่ๆ สองคนที่มันเป็นคนขึ้นมันเก่งจริงๆ ขนาดอากาศเริ่มโพล้เพล้แล้วมันยังมองเห็น มันคัดแต่ลูกสวยๆโตๆหัวเหลืองเรื่อๆแล้วลงมาทั้งนั้น น้ำลายผมละก้อสอเชียว ก็อยากกินนะซีครับ  !

 กำนันโกวิท วงศ์ยะรา กำนันตำบลเจ็ดเสมียนในอดีต

  ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินสาละวนเก็บมะม่วงกันอยู่นั้น ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาแต่ไกล แลเห็นแสงไฟฉาย แว๊บ แว๊บ มาทางพวกเรา พวกเราชะงักกึกหยุดเก็บมะม่วง แล้วหยีตามองฝ่าความสลัวตอนใกล้ค่ำไป เห็นคนรูปร่างสูงใหญ่ตะคุ่มตะคุ่ม เดินมาทางพวกเราอย่างรีบร้อน พวกเรามองหน้ากันแล้วร้อง เฮ้ย ! กำนันนี่หว่ามและพวกที่อยู่โคนต้นก็ป้องปากเรียกคนที่อยู่บนต้น บอกให้รู้ว่ากำนันมาทางนี้แล้วรีบลงมาโดยด่วนเลย ไม่ต้องเป็นห่วงลูกมะม่วงแล้ว  

  เท่านั้นเองขโมยจำเป็นก็แตกกระจาย จะไม่กระจายได้อย่างไรเล่า ก็กำนันโกวิทเดินมาทางเราอย่างรวดเร็ว ไอ้อู๊ด กับ ไอ้โห้  ที่เป็นคนขึ้นไปเด็ดลูกมะม่วงนั้น ขาขึ้นมันขึ้นกว่าจะได้ถึงกิ่งบนก็นานหลายนาที แต่พอขาลงมันไถลลงมาพรวดเดียวถึงพื้น มันเอาอกแนบกับลำต้นเสื้อแสงกระดุมขาดหมดหายใจฟืดๆ มันคงคิดไม่ออกว่ามันจะบอกเรื่องกระดุมเสื้อ ที่ขาดหายไปกับแม่มันว่าอย่างไรดี

  ขณะนั้นพระจันทร์เพิ่งจะขึ้น มะม่วงที่ผมกับไอ้ธรถือกันคนละสองสามลูกนั้น เหวี่ยงทิ้งกันตรงนั้นไปหมดแล้ว ไม่องไม่เอาแม่มันละขอเอาตัวรอดอย่างเดียว ไอ้สามคนนั้นมันจะไปทางไหนผมก็ไม่รู้ แว๊บเดียวมันโกยกันแนบไปเลย แต่เห็นไรๆว่ามันวิ่งไปทางโรงสี มันคงไปแอบที่แพท่าโรงสีเป็นแน่ และผมคิดว่าถ้ามันจวนตัวจริงๆ มันคงจะว่ายน้ำข้ามฟาก ไปขุดทรายมุดอยู่แถวกอตะไคร้หางนาค ที่หาดทรายฝั่งตรงข้ามกับโรงสีก็เป็นได้ เพราะที่ผ่านมาตรงนั้นก็เหมือนเป็น เซฟเฮาส์ของพวกเรา เวลาเราจะปฏิบัติการลับเราก็จะมาประชุมกันอยู่ตรงนั้นเป็นประจำ เพราะว่าหาดทรายตรงข้ามตลาดเจ็ดเสมียน ที่ยาวสุดลูกตานั้น เป็นถิ่นของพวกเราอยู่แล้ว

   ในช่วงชุลมุนนั้นผิดคาดที่ผมคิดไว้ กำนันไม่ได้ตามไอ้สามคนนั้นไปกลับวิ่งมาทางผมและไอ้ธร ผมเห็นดังนั้นจึงพนักหน้ากับไอ้ธรว่า เฮ้ยไปโว้ย ผมก็นึกว่ามันจะเอาตัวรอดไปคนละทางกับผม ผมคิดผิดอีก หนอยแน่ดันวิ่งมาทางเดียวกันกับผมเสียอีก ผมกับไอ้ธรวิ่งไปทางที่จะไปวัดสนามชัยผ่านโรงสี ผ่านโรงเลื่อยร้างของเถ้าแก่เต็ง (รงเลื่อยร้างนี้จะลงให้ท่านผู้อ่านที่กรุณาติดตามผมได้อ่าน ในตอน " คนอง  คุ้มประวัติ 3 ท่าน้ำโรงเลื่อยร้าง" รับรองมันถึงใจครับ) ผมเหลียวมองไปข้างหลังเห็นกำนันโกวิท วิ่งตามผมกับไอ้ธรมาเร็วจี๋อย่างกับรถด่วน สมกับที่เมื่อตอนสมัยหนุ่มๆ ท่านเป็นนักกีฬาวิ่งเร็วเหรียญทองเลยทีเดียว

   ผมกับไอ้ธรก็ไม่ย่อท้อเร่งสปีดกันอย่างไม่คิดชีวิต ผมคิดว่าอย่าให้กำนันจับตัวได้เลย ถ้าจับได้แล้วซวยแน่ๆติดคุกตลอดชีวิต  เฮ้ยไม่ใช่ ! อาจโดนกำนันตีสั่งสอนหรือจับไปให้พ่อแม่ตีให้เข็ด โทษฐานไปลักมะม่วงวัดกินแน่ๆ ถึงอย่างไรก็พยายามหนีให้รอดดีกว่าอย่าให้กำนันแกตีเลย มือแกหนักยิ่งกว่าช้างถีบเป็นเดี่ยวมือหนึ่งในเรื่องตบทีเดียวคนคว่ำมาแล้ว โฮ้ย คิดแล้วกลัวที่จะโดนกำนันตีจริงๆ

   ผมเร่งสปีดเต็มที่ไอ้ธรก็ตามผมอย่างไม่ลดละ ยังกับวิ่งสี่คูณร้อยเมตรในกีฬาโอลิมปิค ที่เพิ่งจะจบลงไปหมาดๆนี่แหละ ผมทั้งคู่วิ่งมาเกือบถึงวัดสนามชัย  ไม่ค่อยไกลเท่าไรหรอก ดูจากภาพก็แล้วกัน

  

         ภาพนี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ เอามาให้ดูเห็นไร่กล้วยของ ซ้อดั่วด้วย ากภาพมองเห็นลิบๆ  ผมวิ่งหนีกำนันโกวิท วงศ์ยะรา จากตรงด้านซ้ายของภาพซึ่งเป็นต้นมะม่วงทองดำ ไปตามทางด้านหลังของผมนี้เกือบถึงวัดสนามชัย ซึ่งมองเห็นโบสถ์ขาวๆ อยู่ในภาพ  แล้ววิ่งตัดทุ่งนาไปถึงทางรถไฟมีสะพานอยู่ตรงนั้น เรียกว่าสะพานคลองสนามชัย รืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่าคลองมะขาม  ตาบิขาด้วนข้างหนึ่ง แกก็เลี้ยงเป็ดอยู่แถวบริเวณนี้ ในภาพผมกับคุณ ระฆัง สุวรรณมัจฉา น้องชายของผมเอง

   แล้วผมกับไอ้ธรก็นั่งลงแอบชั่วคราวที่กอกล้วยในไร่ของ ซ้อดั่ว เมียเฮียเซี้ยง (นายเซี้ยงรุ่นพ่อผมเป็นเพื่อนกับพ่อผม ที่ไปทำงานอยู่โรงเลื่อยที่หัวหินด้วยกัน แต่ผมเรียกว่าเฮียตามพ่อผม) เหนื่อยหายใจหอบฟืดฟาด และรู้สึกว่ากำนันจะตามมาห่างๆ แล้ว จึงเลี้ยวออกทางทุ่งใกล้ถึงทางรถไฟ ผมบอกไอ้ธรว่า "อดทนอีกหน่อยโว้ยเราวิ่งให้ถึงทางรถไฟ แล้วไปหลบกันไต้สะพานคลองสนามชัยสักพัก ให้มันเงียบๆเสียก่อนกำนันเลิกตามแล้วเราค่อยกลับบ้านกัน"

       

           

 ซ้อดั่ว (ซ้ายสุด)เจ้าของสวนกล้วยที่ผมกับนายสาธรวิ่งหนีกำนันโกวิทเข้าไปแอบซ่อนตัวอยู่

    แล้วเราทั้งคู่ก็วิ่งไปถึงทางรถไฟตรงสะพานสนามชัย  สะพานนี้ถ้าเป็นหน้าน้ำน้ำจะขึ้นท่วมทุ่งนาแล้วไหลลอดสะพานสนามชัยนี้ ไปท่วมทุ่งนากว้างอีกฝั่งหนึ่งของทางรถไฟ สายน้ำจะแรงมากๆทีเดียว ผมกับไอ้ธรมุดหลบเข้าไปไต้สะพานนั่งพิงเสาสะพานหายใจหอบด้วยความเหนื่อย หัวใจเต้นแรงเกือบได้ยินเสียงหัวใจเต้นออกมาข้างนอก แล้วคิดว่าไม่น่าจะมาขโมยมะม่วงวัดกินเลย จริงๆแล้วก็ไม่อยากกินเท่าไรหรอก คิดแต่ว่ามันสนุกดี..!

       

        เอามาให้ดูว่าเด็กๆในภาพนี้แทบทุกคนจะรู้จักฤทธิ์เดชของกำนันโกวิทกันดี

   ท่ามกลางเดือนหงายผมมองออกไปยังฝั่งวัดสนามชัย เห็นกำนันเดินกลับไปกลับมาฉายไฟเข้าไปในไร่ ซ้อดั่ว พร้อมกับขยับตะพดคู่ใจที่ติดมือมาด้วย ผมชี้ให้ไอ้ธรดูแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก กำนันคงคิดว่าผมกับไอ้ธรกบดานอยู่ตรงนั้นแน่ๆเลย สักพักเมื่อไม่มีวี่แววผมกับไอ้ธรที่ไร่ ซ้อดั่ว แล้ว แกก็เดินกลับไปในตลาดเจ็ดเสมียนอีก

   อันที่จริงแล้วกำนันแกคงจะไม่อยากไล่กวดจับพวกผมจริงๆหรอก แกวิ่งไล่พวกผมให้พวกผมตกใจกลัวขี้แตกเลอะกางเกงไปอย่างนั้นเอง จะได้เข็ดไปถึงชาติหน้า อย่างไรเสียแกก็ต้องรู้ว่าพวก ไอ้ธร ไอ้เก้ว ไอ้โล ไอ้โห้ ไอ้อู๊ด นั่นแหละเป็นตัวการ แต่ถึงอย่างไรพวกเด็กเจ็ดเสมียนทุกคน ก็เหมือนลูกหลานของท่านๆ ขู่ๆไปอย่างนั้นแหละผมว่า ไม่ให้ประพฤฒิสิ่งที่ไม่ดีโตขึ้นจะได้เป็นคนดี และอีกอย่างพวกผมก็เป็นเด็กเส้นเสียด้วย แล้วเส้นใครล่ะ?  ก็เส้นกำนันโกวิทนี่แหละครับ

  เพราะว่าพวกพ่อๆของพวกผมเป็นคนสนิทใกล้ชิดกับกำนัน และเคยร่วมงานกับกำนันโกวิทเสมอมาทั้งนั้น ดูแต่พ่อของผมนั่นปะไรกำนันโกวิทเป็นครูใหญ่ พ่อผมก็เป็นครูน้อยคอยรับใช้ท่าน พอท่านมาเป็นกำนันพ่อผมเลื่อนเป็นครูใหญ่ ก็มารับใช้เขียนบัญชีและอะไรต่ออะไรต่างๆง่วน อยู่ที่บ้านกำนันนั่นแหละ  

   ถึงอย่างไรพวกผมก็กลัวกำนันตีเอาจริงๆด้วย เด็กทุกคนในตลาดไม่ว่าจะรุ่นใหญ่ รุ่นผม หรือรุ่นเล็กลงไปอีก ต่างก็กลัวกำนันกันทั้งนั้น ถ้าท่านผู้อ่านไม่เชื่อ ลองแวะไปที่ตลาดเจ็ดเสมียนถามเฮียเล็ก ไทยเจริญดูก็ได้ครับ.. 

  เมื่อสงบตัวเงียบๆที่ไต้สะพานนานพอสมควร และคิดว่าป่านนี้กำนันคงไม่ตามมาแล้ว ผมกับไอ้ธรก็ขึ้นมาบนทางรถไฟเดินกันมาเรื่อยๆตามทางรถไฟ มองเห็นตลาดเจ็ดเสมียนเปิดไฟฟ้ากันสว่างโร่กันไปทั้งตลาดแต่ไกลๆ  เราเดินกันมาพักหนึ่งก็มาถึงชานชลาสถานีรถไฟ แล้วจะลงเข้าไปในตลาดแยกย้ายกันไปบ้านใครบ้านมัน เสียงไอ้ธรถามผมว่า "เฮ้ย เก้ว มึงหิวหรือเปล่าวะ"  ผมถามว่าทำไม ไอ้ธรบอกว่า

       "  กูมีมะม่วงทองดำติดกระเป๋ากางเกงกูมาลูกนึงว่ะ " .... !

  เขียนโดยนายแก้ว

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้416
เมื่อวานนี้460
สัปดาห์นี้2266
เดือนนี้11513
ทั้งหมด1341397

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online