เมื่อข้าพเจ้าป่วย (มาถึงหมอจนได้)
นายหิรัญเมื่อเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน
เมื่อก่อนที่ฉันจะล้มนั้นนายเทายืนอยู่ข้างๆ และเมื่อเขาเห็นฉันล้มลงไปต่อหน้า นายเทาจึงถลันเข้ามารับไว้ได้ทัน แล้วประคองให้นอนราบลงอีกทีหนึ่ง คนอื่นๆที่เขารอจะไปที่สถานีด้วยพากันตกใจและเอะอะขึ้น
บางคนรีบควักยาดมมาให้ดม และแก้ไขกันนานสัก ๒ นาทีจึงรู้สึกตัว เมื่อฟื้นแล้วสติฉันยังดีอยู่ยังฝืนใจบอกกับคุณแม่ (แม่ของคุณสุดใจที่เป็นเจ้าของโรงเลื่อยที่นายหิรัญทำงาน) ซิ้มม้วน และนายเทาว่า ไม่เป็นไร
ซิ้มม้วนพูดขึ้นว่าอย่างนี้ครูจะไปถึงโพธารามหรือนี่ จะไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ พลางหันไปทางนายเทาแล้วบอกกับนายเทาว่า ช่วยอุ้มครูแกขึ้นรถสามล้อหน่อย นายเทาจึงอุ้มฉันลงจากบ้านมาขึ้นรถสามล้อซึ่งมีคนไปเรียกมาจอดรออยู่ข้างล่างแล้ว
ฉันหมดแรงก็เอนนอนหลับตามาบนรถสามล้อ พวกที่จะไปส่งฉันที่สถานีรถไฟด้วย บางคนเขาก็ค่อยๆผลักรถไปช้าๆมีใครบ้างก็จำไม่ได้ มีคนกางร่มคันใหญ่บังแดดให้ฉันด้วย ไม่นานก็ถึงสถานีรถไฟเพราะว่าโรงเลื่อยกับสถานีรถไฟ ห่างกันไม่ถึง ๓๐๐ เมตรเท่านั้นเอง
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟแล้วนายเทาก็อุ้มฉันลงจากรถสามล้อ ไปวางไว้ที่ม้านั่งพักผู้โดยสาร ฉันก็นั่งพิงพนักม้านั่งไม่อยากลืมตา หัวใจเต้นหวิวๆแผ่วๆหมดแรง
ตอนนั้นรถไฟยังไม่มามีคนมามุงดูฉันหลายคน แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครตาฝ้าฟางไปหมด และไม่อยากจะลืมตาด้วย
รถเสียเวลามากมาช้ากว่ากำหนดที่จะถึงหัวหินตั้งเกือบ ๔๐ นาที ได้ยินนายเทาบอกว่าอย่างนั้น เมื่อรถมาเทียบชานชลาและหยุดนิ่งแล้ว คุณแม่ก็เดินไปที่ตู้ก๊าดรถ (ผู้ควบคุมการเดินรถ จะมีพวกนี้ทุกขบวน) เพื่อไปขอกับพวกก๊าดรถว่า
จะให้คนป่วยอยู่ในห้องตู้ก๊าดด้วย เพราะว่าจะขึ้นตู้ธรรมดาปนไปกับผู้โดยสารอื่นๆจะไม่สะดวก สักครู่หนึ่งคุณแม่ก็เดินกลับมาที่ฉันซึ่งนั่งเอนอยู่บนม้านั่ง แล้วบอกว่า ทีแรกมันก็ไม่ยอมอนุญาตพูดขอร้องมันเสียตั้งนาน ต้องบอกว่าคนป่วยเป็นญาติกับคุณสุดใจ เจ้าของโรงเลื่อยที่หัวหินนี้
พอมันได้ยินมันก็บอกว่ามันก็รู้จักคุณสุดใจ บ้านมันอยู่ที่หนองแกนี้เอง มันจึงอนุญาตแต่บอกให้อยู่อีกซีกหนึ่ง จะได้ไม่เกะกะเวลาที่เขาปฏิบัติงาน
เมื่อได้เวลาที่รถไฟจะออกจึงเปิดหวูดขึ้น ก๊าดรถก็ส่งสัญญาณโบกธงแดงเอาไว้ เหมือนจะบอกคนขับหัวรถจักรว่ายังออกไม่ได้ ยังไม่เรียบร้อย นอกจากจะโบกธงเขียวจึงจะออกรถได้
แล้วนายเทาก็เอาเตียงผ้าใบตัวนั้นขึ้นไปกาง แล้วหามฉันขึ้นไปนอนบนตู้ก๊าดรถ ซิ้มม้วนและนายเทาอยู่ปรนนิบัติข้างๆด้วย เขาเอาผ้าผวยมาห่มให้ เวลานั้นฉันทำอะไรไม่ได้เลยแม้จะขยับตัว ก็ไม่ไหวหมดแรงหน้ามืดปวดมวนท้อง ได้ยินแต่หัวใจเต้นเป็นจังหวะ ใครจะทำอะไรตามใจเขาทั้งนั้นฉันได้แต่นอนนิ่งๆ
พอรถออกเท่านั้นกลิ่นปลาทูเค็มก็เหม็นคลุ้งเข้าจมูก ชนิดทนไม่ไหวทีเดียว ตายละทีนี้ข้างๆมีเข่งปลาทูเค็มตั้งหลายสิบเข่งส่งกลิ่นเหม็นตะหลบไปหมด จะขยับขยายไปทางไหนก็ไม่ได้จะไปตู้โดยสารก็ไม่มีที่นอน จะเข้าไปที่พวกก๊าดรถมันทำงานก็ไม่ได้ ตกลงก็ต้องนอนที่เก่าเอาผ้าผวยคลุมมิด ซิ้มม้วนเอาสำลีชุบแอมโมเนียจ่อจมูกค่อยบรรเทาจากกลิ่นเหม็นไปได้บ้าง
เที่ยงกว่าๆรถก็ถึงเพชรบุรี ซิ้มม้วนไปซื้อโอวัลตินร้อนมาให้ ๑ กระป๋อง พอดูดเข้าไปสัก ๒ อึกก็เกิดอาการป่วนท้องขึ้นอีก ป่วนท้องขึ้นมาทีไรเป็นกระวนกระวายในหัวใจ และร่างกายอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมันจะขาดใจเสียให้ได้ พออาเจียนออกมาเสียแล้วอาการก็สงบลง อาเจียนคราวนี้ก็เป็นเลือดดำเข้มข้นเหมือนคราวก่อน มากสักหนึ่งกระป๋องนมข้น จิตใจภาวนาอยากจะให้ถึงโพธารามเสียเร็วๆ
รถถึงโพธารามราว ๔ โมงเย็นมีฝนตกปรอยๆ พอรถหยุด ซิ้มม้วนกับนายเทาก็ลงจากรถไฟ เห็นสละและนายสุนมารออยู่ก่อนแล้ว เขาก็หามฉันลงจากรถพอรถเลยไปแล้วเขาก็หามฉันทั้งเตียงไปที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างราว 2 เส้น
ฉันอ่อนเพลียอย่างที่สุดเอาผ้าผวยคลุมหน้า ใครจะทำอย่างไรก็ช่างแต่หูยังได้ยินทุกอย่าง เขาหามฉันไปวางที่หน้าห้องหมอบนเรือนพักคนไข้ ได้ยินคนพูดกันเป็นเสียงผู้หญิง
ฉันเปิดหน้าออกมาดูแล้วก็ฝืนใจเล่าอาการให้หมอฟังได้ว่า อาเจียนออกมาเป็นเลือดสีดำอาการอ่อนเพลีย หมอบอกว่าคงเป็นโรคเกี่ยวแก่กระเพาะอาหารเป็นแผล แล้วหมอบอกให้หามไปอยู่ห้องพิเศษ ซึ่งเป็นห้องเดี่ยวอยู่ทางทิศตะวันออกใกล้กับห้องส้วมห้องน้ำ
พอฉันขึ้นเตียงก็นอนอย่างไม่รู้ตัว และได้แต่นอนหงายนอนตะแคงไม่ได้ นอนตะแคงทีไรมันเหมือนกับทับที่หัวใจ หัวใจเต้นใหญ่และหายใจไม่ใคร่ออกเลยจึงต้องนอนหงายท่าเดียว
นายเทาขอกลับบ้านก่อน ส่วนซิ้มม้วนอยู่ด้วยกับฉันยังไม่กลับ ประมาณสัก ๕ นาทีมีคนเอาหลักตั้งอยู่บนสามขาเหล็กทาสีขาวมาตั้ง เอาตะขอเกี่ยวและเอาขวดน้ำสีขาวมีหนังสืออังกฤษมาแขวนไว้ มีสายยางห้อยจากขวดน้ำสีขาวลงมา
แล้วสักครู่ก็มีหมอมาหนึ่งคนและผู้ช่วยอีกหนึ่งคน เอาแขนขวาของฉันหงายขึ้นเอาผ้ามัดไว้กับแผ่นกระดานแผ่นหนึ่งใหญ่เท่ากับแขนฉันเห็นจะได้ หมอบอกว่าต้องให้น้ำเกลือเพราะคนไข้มีอาการอ่อนเพลียมาก จะทำอย่างไรฉันยอมทั้งนั้น
ยอมแพ้ทุกอย่างจนชั้นจะกระดิกแขนก็ไม่ไหวเสียแล้ว รู้สึกเจ็บที่ข้อแขนนิดหน่อย หมอฉีดน้ำเกลือนั่นเอง แต่คาเข็มไว้ปล่อยให้น้ำเกลือขวดเบ้อเริ่มที่แขวนอยู่ไหลลงจนหมดไปเอง
ให้แก้กางเกงไปฉีดยาเอ้าแทงเข้าไป มัดแขนอีกข้างแล้วกดเอาปรอทวัด เพื่อดูกำลังดันของโลหิตให้อ้าปากอมปรอทฉันยอมทุกอย่าง นอนหลับตาเฉยอยู่บนที่นอนเงียบๆ นานๆก็ลืมตาดูขวดน้ำเกลือขวดมหึมานั้นเสียที มันค่อยๆหยดช่างเชื่องช้าเสียจริงๆ เข็มฉีดที่คาอยู่ที่แขนหมอก็เอาผ้าขาวปิดไว้ ไม่ให้เห็นก็ได้แต่นอนนึกไปตามประสาคนป่วย
มืดแล้วน้ำเกลือก็ยังหยดไม่หมด แขนขวาเมื่อยแล้วก็เมื่อยอีกเป็นเหน็บแล้วจนหายแล้วก็เป็นอีก จะกระดุกกระดิกหรือจะงอแขนก็ไม่ได้เขามัดเอาไว้ จะแก้ออกก็คงจะได้แต่ไม่กล้า ตกลงรอเวลาให้เขามาแก้เองดีกว่า
จน ๒ ทุ่มล่วงเลยน้ำเกลือจึงหมด หมอมาแก้ออกและยกเครื่องอุปกรณ์ไปหมดแล้วจึงขยับเขยื้อนแขนได้ แต่ก็ยังนอนตะแคงไม่ได้นอนหงายท่าเดียว ซิ้มม้วนและสละนอนเฝ้าฉันอยู่ด้วยกัน
สักตีหนึ่งเห็นจะได้ฉันเรียกขอน้ำกิน กินเข้าไปแล้วก็ปวดมวนและกระวนกระวายอีก ขอกะโถนจะอาเจียร อาเจียรคราวนี้ไม่เป็นเลือดดำๆอีกเลย เป็นน้ำขาวๆที่กินเข้าไปทั้งนั้น และตั้งแต่อาเจียรคราวนี้แล้วก็ไม่อาเจียรอีกเลยจนหาย อาเจียรแล้วก็นอนหลับสบายจนรุ่งเช้า
๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๖ เช้ามืดยังไม่ ๖.๐๐ น หมอผู้หญิงเปิดบังตาเข้ามาฉันก็ตื่นอยู่นอนไม่หลับเลยคืนนี้ หมอบอกว่าฉีดยาที ฉันก็ถลกแขนขวาให้ฉีดหมอฉีดแล้วก็ออกไป สัก ๑๐ นาที
ต่อมาก็มีหมอผู้หญิงอีกคนมาถึงก็ยื่นปรอทให้อม จับชีพจรแล้วถามฉันว่าถ่ายกี่ครั้งปัสสาวะกี่ครั้ง ฉันบอกปัสสาวะ ๑ ครั้ง ไม่ถ่ายเลยหมอก็จดลงไปในกระดาษแล้วก็ออกไป
สักประเดี๋ยวมีหมออีกหนึ่งคน เอายามาให้บอกว่าให้กินอย่างนั้นอย่างนี้ สละก็รับคำฉันยังอ่อนเพลียมาก เขาทำอย่างไรให้กินยาอะไรเอาทั้งนั้นแต่สติยังดีอยู่ หมอถามอะไรก็ตอบได้ทุกอย่าง ไม่อยากกินอะไรเลยอยากกินแต่น้ำ สละต้มน้ำมาให้กินก็กินได้แต่น้อย
สละว่านางเผือก(เพื่อนบ้านของครอบครัวนายหิรัญ บ้านอยู่หลังสถานีรถไฟโพธาราม เป็นร้านฟักลูกเป็ดลูกห่าน) มาเรียกให้ไปกินข้าวเช้า สละก็ไปให้นายสุนเฝ้าอยู่
พอสละกลับมาสักประเดี๋ยว รถไฟมาจากทางล่างพวกเจ็ดเสมียนมาเยี่ยมกันใหญ่ สัก ๑๐ กว่าคน มาถามอาการเขาต่างคนต่างว่าเป็นห่วงฉันมาก เพราะนายสุนมาบอกว่าฉันเป็นมาก
พวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ๆฉันก็ป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาล ใครๆก็คิดว่าเป็นมากแต่ฉันยิ้มได้เมื่อเห็นพวกเขามีแก่ใจมาเยี่ยมกัน และนอนเล่าอาการให้เขาฟังถึงจะอ่อนเพลียก็ยังมีแรงพูดแต่รู้สึกว่าเมื่อย
เฮียเบี้ยว (เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นในตอนที่อยู่เจ็ดเสมียน) พูดว่าไม่เป็นไรหรอกเลือดดำดีกว่าเลือดแดง เหมือนมันถ่ายเลือดเสียออกมาให้หมดแล้วต่อไปก็จะดี ใครๆที่มาเยี่ยมก็พูดว่าไม่เป็นไรทั้งนั้น ทำให้ฉันใจดีขึ้นเป็นกองสักประเดี๋ยวพวกเขาก็ไปกันหมด
ซิ้มม้วนกลับไปแล้วคงอยู่แต่สละกับนายสุน ๒ คน อาการกระวนกระวายในหัวใจ และในท้องดูเหมือนมันหมดไปตั้งแต่เมื่อคืน เพราะตั้งแต่อาเจียนเป็นน้ำขาวๆออกมาคราวนั้นแล้วก็ไม่อาเจียนอีกเลย และถ่ายก็ไม่ถ่ายแต่ร่างกายยังซูบซีดมาก เนื้อตัวเหมือนไม่มีเลือดเสียเลย ได้ยินหมอพูดแว่วๆเมื่อวานนี้ว่าจะต้องฉีดเลือดเข้าไปช่วย แต่จะได้เลือดที่ไหนก็ไม่รู้เวลานี้ไม่นึกอะไรทั้งนั้น ฝากชีวิตไว้กับหมอว่าจะทำอะไร..
โปรดอ่านต่อตอนต่อไป