เด็กวัด ๒ (ปฐมนิเทศ)

ศาลาวัดเจ็ดเสมียนเมื่อเกือบ ๒๐ ปีที่ผ่านมา

   ก่อนจะถึงเทศกาลวันเข้าพรรษาในปีนี้ ๑ วัน พวกเด็กตลาดหลายคนก็มารวมตัวกันแล้วเดินไปที่วัดในตอนสายๆ เพื่อมายืนตัวว่าพวกผมมาแล้วนะ หลวงตาหุ่นเห็นพวกผมเดินเข้ามาหา ท่านยืนอยู่ที่ตรงบันใดหน้าวัดพอดี

   เมื่อเห็นพวกผมแล้วก็พยักหน้า เป็นอันรู้แล้วว่าพวกผมมามอบตัวเพื่อเป็นเด็กวัดในงวดนี้ ท่านถามว่าพ่อแม่รู้เรื่องแล้วนะว่าจะมาเป็นเด็กวัดกัน จะสังกัดกับพระอะไรก็พูดกันรู้เรื่องแล้วนะ

   นายธร ซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของพวกเราก็บอกกับหลวงตาหุ่นว่า เรื่องนี้ผมและพรรคพวกได้ติดต่อกันรู้เรื่องเรียบร้อยแล้วครับ หลวงตาพยักหน้าหงึกๆ หลวงตาหุ่นเจ้าอาวาสวัดเจ็ดเสมียนองค์นี้ เป็นพระที่ไม่ค่อยพูดมากซึ่งผมเห็นท่านเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว ค่อนข้างจะดุเสียด้วยซ้ำไป

  พวกผมทั้ง ๘ คนนี้ไม่ได้มีสัมภาระ เสื้อผ้าอะไรมากันเลยแหละครับ เพราะเหตุว่าวัดกับบ้านสถานที่อยู่นั้นใกล้กันแค่คืบ จะแวบไปเอาหรือไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อไรก็ได้ แล้วอีกอย่างน่าจะมาอยู่วัดกันชั่วคราวไม่กี่วันกี่คืนเท่านั้น

  เดิมทีความตั้งใจของพวกผม จะมาเป็นเด็กวัดในตอนแรกนั้น ก็มีไม่กี่คนอย่างมากก็ไม่เกิน ๕ คน ในตอนหลังมีเพื่อนๆอีกสองสามคนมาร่วมด้วยก็เลยเป็น๗ คน รายชื่อก็มีดังนี้ นายธร,นายเก้ว,นายอู๊ด,นายโห้ ,นายมูล, นายวี , นายระ ,

เด็กวัดเจ็ดเสมียนเมื่อ ๕๕ ปีมาแล้วมาพบกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้

   ทั้งหมดนี้เรายกให้นายธร เป็นหัวหน้าเวลาพูดกับพระในตอนแรกๆนี้ พระถามอะไรเราก็ให้นายธรเป็นคนบอก เพราะว่าเขาพูดกับพระเป็น และคล่องกว่าพวกเรา

   เมื่อพวกเราได้บอกกับหลวงตาเจ้าอาวาสวัด ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของที่แล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายเดินขึ้นวัดไป เพื่อไปหาพระที่เราจะอยู่ด้วยนั่นเอง

   ใกล้เพลแล้ว พวกเราที่มาเป็นเด็กวัดใหม่ มีหน้าที่คอยดูแลช่วยเหลือพระที่เราสังกัดอยู่ ผมกับนายสาธร สังกัดกับพระโก๋เหมือนเมื่อหลายๆครั้งที่เคยมาเป็นเด็กวัด ส่วนคนอื่นๆนั้นสังกัดกับพระอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว จำได้เลาๆว่า นายโห้กับนายอู๊ดนั้นเข้าเป็นลูกศิษย์พระองค์หนึ่งซึ่งเป็นพี่น้องกัน ที่มาบวชในพรรษานี้ที่วัดเจ็ดเสมียน

หอฉันบนวัดนั้นก็มีลักษณะยกพื้นขึ้นมาสูงอีกประมาณ ๑๐ เซ็นต์ ทางด้านขวาที่มองไม่เห็นนั้นเป็นบันใดทางขึ้นวัด

   ที่หอฉันบนวัดนั้น มีการจัดสำรับกับข้าวไว้แล้วโดยศิษย์วัดรุ่นเก่า ซึ่งมีความชำนาญเพราะว่าอยู่มานานแล้ว พระทั้งหมดทั้งใหม่และเก่ากว่า ๓๐ องค์ ก็มานั่งตรงสำรับเพราะว่าใกล้เวลาฉันแล้ว มีการสวดมนต์ ก่อนพระจะฉัน

  ผมกับนายธรมานั่งตรงหลังพระโก๋ พร้อมด้วยเด็กชายเหมือนลูกศิษย์ประจำของพระโก๋ ซึ่งมีอายุน้อยกว่าผมและนายธรสัก ๓ ปีเห็นจะได้ เพราะว่ายังเรียนชั้น ป. ๔ อยู่ที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนนี้เอง เป็นญาติกับหลวงตาโก๋ พ่อแม่ของเขาฝากให้อยู่กับหลวงตาโก๋มาช้านานแล้ว ในตอนแรกนี้ผมและนายสาธรเปรียบเสมือนเป็นลูกศิษย์วัดหัดใหม่ จึงต้องนั่งข้างหลังเด็กชายเหมือนไปพลางๆก่อน

  ผมมองดูแล้วในยามปกตินี้ ยังไม่ค่อยมีอาหารเหลือเฟือให้พระฉันหรอกครับ เพราะว่ายามปกติไม่ใช่ในยามเทศกาล พระต้องออกบิณฑบาตแต่เช้ามืด พระมีหลายองค์ก็ต้องจัดกันเป็นสายๆละสองสามองค์ถึงสี่องค์ พระที่วัดเจ็ดเสมียนในตอนนั้นไม่มีการแย่งสายกันหรอกครับ ผมเคยได้ยินข่าวพระสมัยนี้แย่งสายออกบิณฑบาตกัน และไม่พอใจกันถึงขนาดชกต่อยกัน ฟันหัวกันแบะก็มี

  นั่งเฝ้าพระฉันสักพักใหญ่ๆพระก็ฉันเสร็จ พระสวดให้ศีลให้พรเสร็จแล้วเป็นอันเสร็จพิธีการฉันอาหารเพล พระลุกไปแล้วพวกลูกศิษย์ก็กรูเข้ามาเก็บถาดอาหารที่พระฉันไปแล้ว มีอาหารคาวหวานต่างๆที่เหลือบ้างก็ถ่ายใส่จานใส่ชามเก็บเอาไว้สำหรับเป็นอาหารกลางวันของเด็กวัดทั้งหลายที่อยู่รวมๆกันนี้

  อุปกรณ์ในการฉันอาหารของพระก็ต้องเก็บไปให้หมดมีบาตรพระ ฝาปิดทองเหลือง ช้อนส้อม เอาไปล้างไปขัด แล้วเอามาคว่ำไปตรงนอกชานของวัดด้านท่าน้ำ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องจำไว้ว่าอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้เป็นของพระของเราที่เรามาเป็นลูกศิษย์ท่าน ไม่มีการหยิบสับกันเป็นอันขาด ปัดกวาดเช็ดถูหอฉันเรียบร้อยแล้ว จึงแยกย้ายกันไปกินอาหารมื้อกลางวันของเด็กวัด

บันไดทางขึ้นวัดอยู่ทางด้านขวาที่มีแสงส่วางจัดนั่นแหละครับ

  ผมอยากจะบอกถึงสภาพภายในของวัดเจ็ดเสมียน ในครั้งที่ผมไปเป็นเด็กวัดเสียหน่อย เพราะว่าในปัจจุบันนี้เมื่อผมมาที่วัด ก็จะเห็นสถานที่นี้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก สิ่งปลูกสร้างต่างๆเปลี่ยนไปหมด แม้แต่ท่าวัดซึ่งเป็นท่าที่พระต้องลงไปสรงน้ำ และคนอื่นๆก็มาอาศัยท่าวัดนี้ประกอบกิจการอย่างอื่น เปลี่ยนแปลงไปจนจำสภาพเดิมไม่ได้เลย

ท่าวัดเจ็ดเสมียนในปัจจุบันเป็นอย่างนี้ เมื่อกว่า ๕๐ ปีมาแล้วนั้นเป็นบันไดหินขัดทอดลงไปในน้ำ สร้างกันอย่างแข็งแรง บนตลิ่งตรงต้นกอไผ่นั้นมัต้นจันทร์ต้นใหญ่อยู่ ๑ ต้น เคยขึ้นไปบนต้นจันทร์แล้วกระโดดลงน้ำ กับเพื่อนเด็กเจ็ดเสมียนด้วยกันบ่อยๆ

  ท่าวัดในตอนนั้นบันไดลงน้ำก็เป็นบันไดปูน ทำอย่างแข็งแรง ปัจจุบันนี้ที่ท่าวัดไม่มีอะไรเลย เขาทำดินเป็นขั้นบันไดอาศัยเพื่อขึ้นลงได้เท่านั้น

  ภายในกุฏิก็เปลี่ยนแปลงหมด ปัจจุบันที่ตัววัดนี้ทำเป็น ๒ ชั้น ทันสมัยยิ่งขึ้น เมื่อสมัยก่อนนั้นนับตั้งแต่ย่างเท้าก้าวขึ้นไปบนวัด ซึ่งเป็นชั้นเดียวยกพื้นขึ้นสูงแบบเรือนของชาวบ้าน

  พอโผล่ประตูเข้าไปทางด้านซ้ายมือก็จะมองเห็น ห้องของพระหลายห้องเรียงกันไปเป็นแถว ห้องของพระนี้จะมีสองด้าน คือที่ด้านตรงกันข้ามอีกก็จะเป็นห้องเรียงกันเป็นแถวเหมือนกัน มีหอสวดมนต์กับหอฉันซึ่งเป็นที่เดียวกันอยู่ตรงกลาง มีไฟนีออน ติดอยู่ที่เพดานอยู่ ๒ – ๓ ดวง

  ถ้าขึ้นบันไดแล้วมองไปทางขวามือทางด้านนี้ยกพื้นขึ้นอีกประมาณ ๗๐ เซ็นต์เห็นจะได้ มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่องค์เล็กวางไว้อยู่ตรงนี้ มีกระถางธูปเทียน และถาดสำหรับใส่ดอกไม้วางอยู่ด้วย มีร่องรอยของคนที่มาไหว้พระที่วัดนี้โดยการปักธูปเทียนและวางดอกไม้ไว้เกลื่อนไปหมด

ด้านหลังพระพุทธรูปนี้ทางด้านขวามือเป็นประตูห้องท่านเจ้าอาวาส

   ถัดเข้าไปอีกหน่อยก็จะเป็นห้องของเจ้าอาวาสครับ ไม่ทราบว่าภายในห้องของท่านจะเป็นอย่างไรเพราะผมไม่เคยเข้าไป ยังมีห้องที่สำคัญอีกห้องหนึ่งอยู่ที่ข้างๆประตูทางขึ้นวัด คือห้องของหลวงตาเพชร ซึ่งเป็นรองเจ้าอาวาสนั่นเอง
  ที่ผมบอกให้ท่านทราบนี้เป็นการบอกคร่าวๆ เป็นลักษณะภายในของวัดเจ็ดเสมียน จากความจำของผมนะครับ จะบอกให้ละเอียดกว่านี้ก็กำลังนึกอยู่

  ในคืนวันแรกที่พวกผมมาอยู่ที่วัดนี้ ตั้งแต่หัวค่ำที่วัดก็เงียบสงัด ที่ด้านบนกลางหอฉันติดไฟนีออนไว้หลายดวง ซึ่งเป็นส่วนที่สว่างที่สุดของวัด ผมกับนายสาธรที่เป็นศิษย์หลวงตาโก๋ด้วยกันกำลังนั่งคุยกับหลวงตาถึงเรื่องต่างๆ ภายในห้องของท่าน
   สักพักหนึ่งได้ยินเสียงลูกศิษย์วัดคนหนึ่งชื่อบุญโปรด ซึ่งเป็นเด็กเก่าอยู่ที่วัดนี้มานานแล้วอายุก็คงจะใกล้เคียงกันกับพวกผม ผมเห็นว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของหลวงตาหุ่นเจ้าอาวาสวัด ไม่ทราบว่าเขาเป็นญาติกับหลวงตาหุ่นหรือเปล่า พวกผมไปเล่นที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียนก็เจอเขาบ่อยๆ

  นายบุญโปรดมาเคาะประตูเรียกผมกับนายสาธร บอกว่าหลวงตาเพชรให้เรียกเด็กวัดทุกคนมาประชุมกันที่หอฉัน ให้ไปเดี๋ยวนี้เลย ผมคิดว่าน่ากลัวว่าหลวงตาเพชรท่านคงเรียกประชุมเพราะว่า

   ในวันพรุ่งนี้จะเป็นวันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญจะมีชาวบ้านญาติโยมมาทำบุญกันมากมาย หลวงตาเพชรในฐานะเป็นผู้กำกับดูแลเด็กวัดทั้งใหม่และเก่า ท่านคงเรียกประชุม เพื่อกำชับเด็กวัดทั้งใหม่และเก่าทุกคน ให้สำรวมกิริยามารยาทไว้ให้มากๆ
   และอาจจะบอกเด็กวัดใหม่ถึงการปฏิบัติตัวและกิจวัตรประจำวันด้วยก็ได้ หลวงตาโก๋บอกว่าท่านเรียกประชุมก็ไปก็แล้วกันคงไม่มีอะไรหรอก

  ออกมาจากห้องหลวงตาโก๋แล้ว มองไปที่หอฉันซึ่งอยู่ใกล้ๆกันเห็นเด็กวัดหลายคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมกับสาธรเดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกที่นั่งรอออยู่ก่อนแล้ว สักครู่หลวงตาเพชรก็มาถึง บอกให้ทุกคนเงียบๆ แล้วก็ตั้งใจฟัง

  ใจความที่หลวงตาเพชรบอกก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้แล้วเกี่ยวกับเรื่องเข้าพรรษา นอกจากนั้นบอกว่าให้พวกเด็กวัดทั้งเก่าและใหม่สามัคคีกัน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก นอกจากนั้น เมื่อออกพรรษาไปแล้ว เด็กวัดที่ยังอยู่ในตอนค่ำๆก็จะมาหัดสวดมนต์ ใครมีการบ้านก็จะต้องมาทำการบ้านที่ตรงหอฉันนี้ หลวงตาจะเป็นผู้ดูแลช่วยสอนให้เอง

  หลวงตาเพชรพูดและอบรมให้เด็กวัดทั้งหลายเข้าใจกันอย่างทั่วถึง แล้วให้กลับไปพักผ่อนได้ ห้ามหนีไปไหนเป็นอันขาด เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นวันเข้าพรรษาจะต้องตื่นแต่เช้ามืด เพื่อมาทำหน้าที่คอยช่วยเหลือพระ ให้สมกับเป็นเด็กวัดที่แท้จริงต่อไป

  เด็กวัดทั้งเก่าและใหม่เวลานี้ผมมองดูแล้วลองนับๆประมาณดู คงจะกว่า ๓๐ คนเป็นแน่ ส่วนใหญ่เป็นพวกอยู่เก่าๆแล้ว พวกอยู่เก่านั้นผมเคยเห็นบ่อยๆเวลาเด็กพวกนี้ไปเล่นที่สนามหญ้าหน้าโรงเรียน หรือเดินเข้าไปในตลาดเพื่อซื้อของให้พระ ส่วนเด็กใหม่ที่เพิ่มมานั้นนอกจากพวกผม ๘ คนแล้ว นอกจากนั้นก็ไม่รู้จักชื่อกันเลย คงจะมาจากที่อื่นๆไกลๆเป็นแน่..

เขียนโดย นายแก้ว

บทความล่าสุด

จำนวนผู้เยี่ยมชม

วันนี้269
เมื่อวานนี้245
สัปดาห์นี้2039
เดือนนี้5351
ทั้งหมด1348941

ผู้เยี่ยมชมในขณะนี้

1
Online