ย้ายมาอยู่ เจ็ดเสมียน 1
โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน เป็นโรงเรียนที่เก่าแก่มากแห่งหนึ่ง
ผมขอย้อนเรื่องราวที่ครอบครัวของผมได้มาเกี่ยวข้องกับตำบลเจ็ดเสมียนหรือตลาดเจ็ดเสมียน ตั้งแต่เมื่อตอนที่ผมยังไม่เกิดและได้มาอยู่ที่นี่จนปัจจุบันนี้
ครูหิรัญ สุวรรณมัจฉา เมื่อเป็นครูอยู่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ตั้งแต่ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่เจ็ดเสมียน
บิดาของผม คือนายหิรัญ สุวรรณมัจฉา ซึ่งเป็นคนโพธาราม ได้มารับราชการโดยเป็นครู ที่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนแห่งนี้ ตั้งแต่อายุได้ ๑๙ ปี คือเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ (โดยถีบรถจักรยานไปกลับ)
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๘๕ ครอบครัวของนายหิรัญจึงได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่ตำบลเจ็ดเสมียนนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งครูหิรัญ สุวรรณมัจฉา ได้บันทึกไว้ ดังต่อไปนี้ (ข้อความในวงเล็บผมเขียนเอง เพื่อความเข้าใจของท่านผู้อ่าน)
สภาพของหน้าโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียนในสมัยนั้นเป็นอย่างนี้ อาคารหลังนี้สร้างตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๔ ปัจจุบันถูกรื้อสร้างใหม่ไปนานแล้ว
เด็กนักเรียนของโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ในสมัยเก่า
“ .....๘ พฤษภาคม ๒๔๘๕ ฉันกับสละ (แม่ของผม) ตกลงใจกันแล้วว่าจะย้ายมาอยู่เจ็ดเสมียน ฉันจึงไปเลือกได้ที่แห่งหนึ่งริมถนนตัดใหม่ เป็นที่ของนายดี ไชยจินดา (ที่ตรงนี้ปัจจุบันนี้ อยู่ตรงกันข้ามกับ บ้านกำนันโกวิท วงศ์ยะรา หลังใหม่ ที่อยู่ตลาดนอก แต่ปัจจุบันนี้สภาพของบ้านเรือนแถวนั้นเปลี่ยนไปหมดแล้ว และอีก 1 ปีต่อมา ผมก็เกิดที่ตรงนี้ บ้านหลังนี้)
ตรงนั้น มีที่นิดหน่อยเท่านั้นเอง เมื่อปลูกบ้านแล้วก็ไม่มีที่เหลือว่างเลย เขาคิดค่าเช่าปีละ ๕ บาท หน้าบ้านมีต้นมะม่วง ๒ ต้น
ถ้าจะพูดไปก็นับว่าแพงสักหน่อย จะปลูกอะไรกินบ้างก็ไม่มีที่ คอกหมูสักหนึ่งคอกก็จะแคบไปแล้ว และเอาตั้งปีละ ๕ บาท แต่ทั้งนี้เป็นด้วยเราไปเช่าเขาเอง เราจะไม่เอาก็นึกยังไม่ออกว่าจะมีที่ๆไหนดีกว่านี้ เขาจึงโก่งเอาได้ แต่ฉันคิดว่าจะอยู่สักชั่วคราวเท่านั้น คราวหลังมีปัญญาก็ค่อยขยับขยายใหม่
เมื่อตกลงใจแน่นอนแล้ว ฉันก็มีคำสั่งรื้อห้องแถวตรงหน้าบ้าน ๓ ห้อง (บ้านที่ตลาดโพธาราม) เสายังใช้ได้ ไม้ไผ่ฝาใช้ได้บ้าง รื้อในราวบ่ายก็สำเร็จ การรื้อเร็วกว่าการสร้างมากมายนัก ฉันก็รวบรวมเตรียมไว้จะล่องลงไต้ไปเจ็ดเสมียนทางน้ำ กับไปซื้อไม้ไผ่อีก ๑ ลูก เพื่อต่อเป็นแพ
ฉันให้ลุงเฉยเป็นหัวหน้างาน ตาอ่ำ กู๋คง นายฮิ้ม เป็นลูกน้องช่วยเหลือกัน ทุกๆคนฉันขอแรงทั้งนั้นไม่ได้ว่าจ้างเลย เขาทุกคนก็เต็มใจรับทำ ซึ่งฉันขอบคุณเขาเป็นอันมาก
๙ พฤษภาคม ๒๔๘๕ วันนี้ฉันให้คนงานจัดการล่องแพไปเจ็ดเสมียน ถึงเจ็ดเสมียนในราวเที่ยง ครูโกวิท (ครูใหญ่โรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน) ได้ช่วยขอแรงนักเรียนช่วยกันขนเครื่องเรือนและเสาไม้ ที่ๆจะปลูกจนหมด ฉันขอบคุญบุญคุณครูโกวิทไว้ในที่นี้
ลุงเฉยว่าอีกวันสองวัน ฤกษ์ดี ก็จะทำการยกเสา จัดการปลูกในเร็ววัน ฉันขอให้แกปลูกเร็วๆยิ่งดี เพราะฉันเบื่อ โพธาราม อย่างที่สุดแล้ว ตั้งใจจะไปผจญชีวิตใหม่ในตำบลเจ็ดเสมียนบ้าง คิดว่าถ้าอยู่เจ็ดเสมียนอีกสัก ๕ - ๖ ปีแล้วยังไม่มีอะไรดีอยู่เช่นนี้แล้ว ก็จะพเนจรไปที่อื่นอีก''...จนกว่าจะประสพกับความโชคดีเหมือนคนอื่นเขาบ้าง………….
๒๒ พฤษภาคม ๒๔๘๕ บ้านหรือที่เรียกว่าโรงดินของฉันที่เจ็ดเสมียน ลุงเฉยและพวกคนงานจัดการสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอได้วันดี วันดีของฉันก็คือวันที่ว่างงาน และวันนี้เป็นวันพระ ๘ ค่ำ ร.ร.หยุด ฉันกับสละก็ช่วยกันรวบรวมสิ่งของ ที่พอจะขนเอาไปได้ลงเรือ
ส่วน กรรณิกาน้องของฉันนั้น เขาได้ไปเช่าห้องแถวที่ตรอกจับกัง (ที่ตลาดโพธาราม) อยู่กับสามีของเขา ฉันให้เขาอยู่บ้านเก่าเขาไม่ชอบใจ อ้างว่าเข้าออกลำบาก และบ้านใหญ่โตเกินไปสำหรับครอบครัวสองคนผัวเมีย ฉันตามใจเขา เพราะอำนาจไม่ได้ตกอยู่กับฉันแล้ว พวกลุงเฉยและคนงานก็ช่วยกันขนของจนเสร็จก็ในราวเที่ยง
ครั้นล่องเรือมาถึงเจ็ดเสมียน พวกลูกศิษฐ์วัดก็ช่วยกันขนและมีคนอีกหลายคนมาช่วยกันขนของ กว่าจะเสร็จราว ๔ โมงเย็น
วันนี้ของที่ขนมานั้น ทิ้งไว้เรี่ยราดเพราะไม่มีเวลาจะเก็บ ทีนี้มาอยู่เจ็ดเสมียนแล้วใกล้โรงเรียน คงมีเวลาเก็บกวาดมาก ฉันกะว่าอีก ๒ - ๓ วัน คงจะเก็บกวาดได้เรียบร้อย
๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๕ ฉันมาอยู่เจ็ดเสมียนเกือบเดือนแล้ว รู้สึกว่ามันสบายอย่างที่สุด ไม่ต้องถีบจักรยาน ซึ่งเป็นระยะทาง ๗ กิโลเมตร ไม่ใช่ใกล้ อยู่บ้านเดี่ยวไม่มีใครมาจุกจิกจุ้นจ้าน เพื่อนบ้านใกล้เคียงชอบพอกันดี และโจรผู้ร้อยก็ไม่ชุกชุม ของบางสิ่งบางอย่างทิ้งไว้หน้าบ้านก็ไม่หาย ถ้าเป็นโพธารามแล้วไม่พ้นคืน
ใจฉันอยากจะอยู่ต่างถิ่นบ้าง อยู่ที่เก่า (ตลาดโพธาราม) มันมาตั้ง ๒๐ กว่าปีแล้วชักเบื่อ มาอยู่เจ็ดเสมียนแล้วก็ได้รับความสบายทุกอย่าง แต่เวลานี้สบาย เวลาต่อไปข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่โชควาสนาจะอำนวยเถิด ...“
สถานีรถไฟเจ็ดเสมียนหลังนี้เก่าแก่อายุเกือบ ๑๐๐ ปีแล้ว (ปัจจุบันนี้รื้อสร้างใหม่ไปแล้ว)
นั่นแหละจากโพธารามมา ครอบครัวผมจึงเป็นคนเจ็ดเสมียนมาตั้งแต่บัดนั้น ผมจึงได้เป็นคนเจ็ดเสมียนตั้งแต่ผมเกิด และน้องๆของผมอีก 3 คนต่างก็เกิดที่เจ็ดเสมียนนี้ทั้งนั้น แต่ผมก็ไม่ได้อยู่ที่เจ็ดเสมียนตลอดมาถึงเดี๋ยวนี้หรอกนะครับ เพราะเหตุว่าเมื่อเรียนจบชั้นมัธยม เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ จากโรงเรียนในอำเภอ โพธาราม แล้ว
ผมและเพื่อนๆบางคนก็แยกย้ายกันไปทำงาน หรือบางคนก็ไปเรียนต่อที่อื่นๆ สำหรับผมนั้นไม่ได้เข้าเรียนต่อในสายธรรมดาทั่วๆไป เพราะว่าบิดาของผมเห็นว่าผมหัวไม่ค่อยดี ถ้าเรียนในสายธรรมดาแล้วคงไปไม่ไหว จึงอยากให้ผมเรียนในทางสายอาชีพมากกว่า
ดังนั้นบิดาของผมจึงพาผมไปหาญาติคนหนึ่ง ที่ทำงานอยู่ที่การรถไฟ ญาติคนนี้มีบ้านพักของการรถไฟ อยู่ที่มักกะสัน ใกล้ๆกันกับย่านประตูน้ำใน กทม. ผมจึงต้องเข้าโรงเรียนช่างกล ของการรถไฟที่กรุงเทพฯ โดยต้องห่างจากพ่อแม่พี่น้องและเพื่อนฝูงทางเจ็ดเสมียนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ต้องเข้าเรียนที่โรงเรียนช่างนี้ เป็นเวลา ๓ ปี จบแล้วก็ทำงานในแผนกช่างกลโรงงาน ของการรถไฟต่อมาอีกหลายปี เรื่องนี้เป็นการผจญชีวิตของผมในกรุงเทพ ผจญชีวิตในการทำงานที่การรถไฟ อีกยาว และถ้ามีโอกาส ผมจะมาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้มาต่อเรื่องของเจ็ดเสมียนกันดีกว่านะครับ.....
โปรดติดตาม ย้ายมาอยู่เจ็ดเสมียน ๒ ในตอนต่อไป
นายแก้ว ผู้เขียน ๑๘ สิงหาคม ๒๐๐๘